ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมันส่อเค้าว่านโยบาย “ดิจิทัลวอลเล็ต” ที่จะต้องออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทจะไปไม่รอดเสียแล้ว

เพราะจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถเรียกประชุมคณะกรรมการฯชุดใหญ่ได้ ซึ่งตอนแรกบอกว่ารอผลการศึกษาของ ป.ป.ช.ก่อน

จนล่วงเลยมาถึงวันนี้ก็ยังไม่มีวี่แววแต่อย่างใด โดยทีมงานบอกว่ายังไม่มีกำหนดการแต่อย่างใด เพียงแต่มีการคุยกันอย่างไม่เป็นทางการเท่านั้น

เช่นกันนายกรัฐมนตรีแม้จะบอกว่าจะเดินหน้าต่อไป แต่ดูไม่กระตือรือร้นอย่างที่เคยเป็นมา เมื่อมีการถามเรื่องนี้ก็ตอบสั้นๆว่า ไม่เลิกแล้วกลับไปคุยเรื่องที่โพลระบุว่าประชาชนไม่โกรธรัฐบาล

หากนโยบายนี้เดินหน้าต่อไปไม่ได้

นายกรัฐมนตรีบอกว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ มีแต่บอกว่ากำลังรอว่าเมื่อใดจะคลอดออกมาเสียที เพราะรอมานานแล้ว

หรือ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและผู้คุมบังเหียนรัฐบาลตัวจริงก็บอกเพียงแค่ว่า มันเป็นเรื่องมุมมองของแต่ละฝ่ายอย่างข้อคิดเห็นของ ป.ป.ช.ก็เป็นเพียงแค่ต้องการให้รัฐบาลพึงสำเหนียกให้ดี ไม่ได้บอกว่าห้ามทำแต่อย่างใด

แน่นอนว่าในสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ทีมงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คงได้พิจารณาจากความเห็นของแต่ละฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้

คงเห็นร่วมกันว่าหนทางที่จะเดินหน้าต่อไปเป็นเรื่องยากทั้งด้านตัวนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง โดยเฉพาะที่รัฐบาลพยายามยํ้าคำว่า “วิกฤติเศรษฐกิจ” แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

อีกทั้งในแง่กฎหมายที่มีข้อจำกัดสูงและมีบทลงโทษหนัก

หากเดินหน้าต่อไปมีแต่เจ๊งลูกเดียว

ประเด็นสำคัญก็คือข้าราชการที่จ้องมีส่วนร่วมผลักดันก็คงไม่สบายใจนัก เนื่องจากมีบทเรียนจากการตัดสินใจของนักการเมือง

...

แต่ต้องมาร่วมรับผิดชอบด้วย

“จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง“มือทำงาน” โดยตรงยอมรับว่าโครงการนี้ไม่ทันเดือน พ.ค.2567 แน่นอน แต่จะเป็นเมื่อไหร่ยังบอกไม่ได้ แต่ส่วนตัวหวังว่าจะเลื่อนไปไม่นาน โดยกระทรวงยังรู้ระหว่างรอหนังสือจาก ป.ป.ช.ซึ่งยังไม่มีการนัดหมายประชุม

ถ้าได้รับหนังสือแล้วก็ควรจะถึงจุดจบที่รัฐบาลต้องมาตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรต่อไป

ช่วงเวลานี้จึงเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีและทีมงานน่าจะมีคำตอบแล้วว่าจะเดินหน้าหรือหารูปแบบอื่นทำมากกว่าที่จะยึดรูปแบบตายตัว

เพราะสภาพเศรษฐกิจอย่างที่รู้กันดีว่าไม่ค่อยจะดีนักแม้จะไม่ถึงขึ้น “วิกฤติ” แต่ก็ต้องมีการทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อทำให้ดีขึ้น

เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันก็ไม่ค่อยจะดีนัก เนื่องจากเกิดตัวแปรของปัญหามากขึ้น

ทั้งปัญหาตะวันออกกลางที่ส่งผลกระทบด้านราคาน้ำมันและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขนส่งสินค้า

เศรษฐกิจของจีนที่ยังไม่ดีขึ้นและมีผลต่อไทยโดยตรงรวมถึงการท่องเที่ยวที่ไทยคาดหวังจากนักท่องเที่ยวไว้สูง

รวมถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศในภูมิภาคต่างๆ

หากรัฐบาลไม่มีแนวคิดที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นด้วยวิธีการอื่นๆก็จะเกิดปัญหาทับถมซ้ำเติมเพิ่มขึ้นมาอีก

นี่ก็ 4 เดือนกว่าๆแล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้ปรากฏ!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม