“เรืองไกร-ธีรยุทธ” เร่งปิดเกมก้าวไกล ยื่น กกต.ชงศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ขาประจำฟันธงไม่รอดแน่ ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 10 ปี คู่กรณีผู้ร้องยกคำวินิจฉัยศาลฯเป็นหลักฐานสำคัญมัดคอ “สนธิญา” ตามขยี้ยื่น ป.ป.ช.สอบจริยธรรม 44 สส.ก้าวไกลลงชื่อเสนอแก้ ม.112 “แบม-ตะวัน” ประชดคำวินิจฉัย โวยแค่กระดาษ-สติกเกอร์ก็ล้มล้างการปกครองได้ “พิธา-ชัยธวัช” ถก สส.ลูกพรรค อัปเดตทิศทางดำเนินงานการเมือง “ทิม” ไม่กังวลนักร้องขาประจำรุมขย่มยัน สส.ยังทำงานตามปกติ “ต๋อม” รับพรรคเสี่ยงถูกยุบ ลบทิ้งนโยบายแก้ ม.112 พ้นเว็บพรรค เผยทีมกฎหมายเตรียมสู้คดีจริยธรรมไว้แล้ว “ปิยบุตร” ปลุกองค์กรอื่นลุกขึ้นสู้กลับศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ช่องแก้รัฐธรรมนูญ ม.49 ตีกรอบอำนาจ สกัดใช้อำนาจองค์กรอิสระล้ำแดน แทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติ

จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่านายพิธาและพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองฯ ล่าสุดนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ได้เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ก.ก.และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 10 ปี

...

“เรืองไกร” ยื่น กกต.ส่งศาล รธน.ยุบ ก.ก.

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 ก.พ.ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และตัดสิทธิทางการเมือง จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล มีนโยบายหาเสียงยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ศาลจึงสั่งให้ยุติการกระทำ เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่าการยกเลิกมาตรา 112 เป็นการกระทำที่ไม่ควร อีกทั้งการแก้ไขกฎหมายก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติจึงถือเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบ

คำสั่งศาล รธน. ชัดห้ามยกเลิก ม.112

นายเรืองไกรกล่าวว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำร้องของผู้ร้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 โดยมีผู้ถูกร้อง 2 ราย ประกอบด้วยนายพิธาและพรรค ก.ก. ที่ผู้ร้องใช้สิทธิตามมาตรา 49 เห็นว่ามีบุคคลใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ โดยศาลระบุชัดเจนว่าผู้ถูกร้องทั้งสอง ใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ ตามมาตรา 49 อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ศาลรัฐธรรมนูญสั่งได้อย่างเดียวคือให้เลิกการกระทำ และวินิจฉัยว่าให้เลิกการกระทำอย่างไร เข้าใจว่าห้ามยกเลิกมาตรา 112 และอีกข้อหนึ่งที่เข้าใจคือการจะแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายอื่นๆเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่จะตรากฎหมายใหม่แก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกสามารถทำได้แต่ต้องชอบด้วย

จี้ ป.ป.ช.สอบ 44 สส.ใช้สิทธิโดยชอบหรือไม่

นายเรืองไกรกล่าวอีกว่า ดังนั้นถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 49 แล้ว คำว่าล้มล้างการปกครองฯอยู่ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 (1) (2) ที่อาจเป็นปฏิปักษ์ ในกรณีนี้มีพรรคเดียวที่เคยโดนคือพรรคไทยรักษาชาติ จึงยื่นเรื่องขอให้ กกต.นำผลคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาล ไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยยุบพรรค ก.ก. ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 (1) (2) อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยในคดีดังกล่าว จะผูกพันถึง กกต.ที่ต้องทำตามหน้าที่ เพราะถือเป็นความปรากฏ ส่วนองค์กรที่ 2 คือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ถูกร้องเป็น สส. 44 คน ว่าใช้สิทธิและเสรีภาพ ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เรื่องดังกล่าวได้เคยยื่นเรื่องไปแล้วเมื่อปี 2564 นี่เป็นการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานไม่ได้มีความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ หรือนำความเห็นส่วนตัวมาร้อง

ฟันธงไม่น่ารอด ตัดสิทธิ กก.บห.10 ปี

เมื่อถามว่าคำวินิจฉัยนี้จะส่งผลต่อพรรค การเมืองอื่นๆที่เคยใช้การแก้ไขมาตรา 112 ในการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่ นายเรืองไกรกล่าวว่า ขณะนี้กำลังเก็บรวบรวมข้อมูลอยู่ ฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วง หากมีน้ำหนักพอจะยื่นเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ ทั้งนี้รวมถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสินและ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เคยหาเสียงในประเด็นแก้ไขมาตรา 112 เมื่อถามอีกว่าพรรค ก.ก.จะถูกยุบหรือไม่ นายเรืองไกรกล่าวว่า ไม่น่าจะรอด เพราะศาลวินิจฉัยว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง จะส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรค ก.ก.ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีด้วย

“แบม-ตะวัน” โผล่ประชดสำนึกบาป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายเรืองไกรกำลังให้สัมภาษณ์อยู่ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ (ตะวัน) กลุ่มทะลุวังและ น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ (แบม) ปรากฏตัวโดยมีเชือกพันธนาการที่ข้อมือและลำคอทั้งสองคน เดินเข้ามาในพื้นที่ พร้อมทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ โดยกล่าวว่า ต้องการมาตามหาศาลไคฟง เพื่อให้มาประหารพวกตนทั้งสองคน เพราะเมื่อวันที่ 31 ม.ค.มีศาลกล่าวอ้างถึงชื่อของพวกตน รวมถึงกิจกรรมก่อนหน้านี้ที่ได้ดำเนินการ ได้จัดนำแผ่นป้ายข้อความ “คิดว่ามาตรา 112 ควรแก้ไขหรือยกเลิก” พร้อมนำสติกเกอร์มาให้ติด เพื่อแสดงความเห็น และรวมถึงการให้นายพิธานำสติกเกอร์ไปแปะด้วย ถือเป็นความผิดร้ายแรง ล้มล้างการปกครอง จึงรู้สึกถึงบาปกรรมที่พวกตนได้ทำไว้ในประเทศชาติ จึงสำนึกบาป วันนี้จึงต้องการให้ท่านเปาบุ้นจิ้นประหารตนแทนคนอื่นๆที่ทำกิจกรรมการเมืองแล้วถูกจับติดคุก และปล่อยพวกเขาออกมา เพราะสิ่งที่พวกเขาทำ ไม่ร้ายแรงเท่ากระดาษหรือสิ่งที่เราทำ “เราหญิงสาวทั้งสองคนได้กระทำการล้มล้างการปกครองด้วยโพลอันนี้ กระดาษแผ่นนี้และสติกเกอร์นี้ กระดาษและสติกเกอร์ที่ราคาไม่กี่บาท ที่ถูกมองว่าทำให้ประเทศนี้ล่มจม พวกเรารู้สึกผิดไปแล้วที่ทำให้ประเทศนี้ถูกล้มล้างการปกครอง ได้โปรดประหารเราแทนเพื่อนทั้งหลายด้วยเถิดเพราะเราทำผิดกว่าพวกเขามาก”

ขณะเดียวกันยังมีแนวร่วมกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) จะเดินทางมา ติดตามการยื่นคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่จะเดินทางมายื่นให้ กกต.พิจารณายุบพรรค ก.ก.เช่นกัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันความวุ่นวายทางศูนย์ราชการ สำนักงาน กกต.ได้ให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในและนอกเครื่องแบบมาคอยดูแลความปลอดภัย

“ธีรยุทธ” หอบหลักฐานยื่นยุบค่ายสีส้ม

ต่อมาเวลา 11.00 น. ที่สำนักงาน กกต. นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เมื่อครั้งเป็นหัวหน้าพรรค ก.ก. และพรรค ก.ก.กระทำการล้มล้างการปกครอง เข้ายื่นร้องต่อ กกต.ให้ดำเนินการพิจารณายุบพรรค ก.ก. โดยนายธีรยุทธกล่าวว่า หลังฟังคำวินิจฉัยของศาลอย่างละเอียด จึงทำคำร้อง 11 แผ่น และคำถอดเทปคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 11 แผ่น เอกสารประกอบอีก 116 แผ่นมายื่นต่อ กกต. ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 92 วรรค 1 บัดนี้ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าการกระทำของนายพิธาและพรรค ก.ก.เป็นการกระทำที่ใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงมีผลผูกพันกับ กกต.

ยกคำวินิจฉัยหลักฐานสำคัญมัดคอ

“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นหลักฐานสำคัญควรเชื่อได้ว่าพรรค ก.ก.ได้กระทำการล้มล้างการปกครองจริง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาและวินิจฉัย โดยแจ้งต่อ กกต.ให้บังคับการกับพรรค ก.ก.ให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องพิจารณาที่ 19/2566 เพื่อเป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2562 มาตรา 92 วรรค 1 โดยสั่งให้ กกต.ยุบพรรค ก.ก. เนื่องจากมีหลักฐานควรเชื่อได้ว่าพรรค ก.ก.กระทำการล้มล้างการปกครองคำวินิจฉัย สะท้อนว่าเป็นไปตามหลักฐานเกิดขึ้นจากการกระทำของนายพิธาและพรรค ก.ก.ทุกประการ เสมือนเป็นการวางบรรทัดฐานการเมืองการปกครองของไทย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้กังวลว่า หากในอนาคตมีการยุบพรรค ก.ก.จริง จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองปะทุขึ้น” นายธีรยุทธกล่าว

โต้แก้ ม.112 ได้แต่ต้องไร้เจตนาซ่อนเร้น

นายธีรยุทธกล่าวถึงนักวิชาการบางคนที่มองว่า คำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่จะไม่สามารถพูดถึงมาตรา 112 ทั้งในและนอกสภาฯได้อีกว่าขอให้นักวิชาการกลับไปฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ละเอียด  เพราะคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ปิดประตูนโยบายการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่ต้องเป็นไปตามครรลองนิติ บัญญัติโดยชอบ คือต้องเป็นฉันทามติ ไม่มีเจตนาซ่อนเร้นอย่างอื่น อันมีนัยสำคัญ

ก.ก.โดนอีกยื่นสอบจริยธรรม 44 สส.

นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษา กมธ.กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า วันที่ 2 ก.พ.เวลา 10.30 น. จะไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อร้องสอบจริยธรรม 44 สส.พรรค ก.ก. ที่ยื่นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จนศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยระบุเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก่อนหน้านี้เคยยื่นคัดค้านการจดทะเบียนพรรคอนาคต ปี 2561 เพราะขณะนั้นนายปิยบุตร แสงกนกกุล มีแนวคิดแก้ไขมาตรา 112 หาก กกต.รับจดทะเบียนพรรค จะทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยต่อสถาบัน สุดท้ายเป็นจริงอย่างที่เคยคัดค้าน เพราะเป็นการเริ่มต้นมรดกมาตรา 112 จนมาถึงพรรค ก.ก.ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำล้มล้างการปกครอง ถึงเวลาแล้วที่ นักการเมืองที่มีส่วนร่วมในการเข้าชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ทั้งหมด ให้ยุติการทำงานการเมืองไปตลอดชีวิต

“เต้” แจ้ง ผบ.ตร.จับข้อหากบฏ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือเต้ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ยื่นหนังสือให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุการกระทำของนายพิธา และพรรคก้าวไกล ชูนโยบายหาเสียงแก้ไขมาตรา 112 ล้มล้างการปกครอง อาจเข้าข่ายฐานความผิดข้อหาเป็นกบฏตาม ป.อาญา มาตรา 113(1) นายมงคลกิตติ์กล่าวว่า ผบ.ตร.มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฯ มาตรา 1 ต้องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ฯ จำเป็นต้องนำคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญมาวินิจฉัยพฤติกรรมและพฤติการณ์ของนายพิธากับพรรคก้าวไกล เข้าข่ายความผิดฐานข้อหากบฏหรือไม่ หาก ผบ.ตร.ไม่ดำเนินการจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มาตรา 157 มั่นใจว่าหากมีการยื่นให้ กกต.ยุบพรรคก้าวไกลต้องถูกยุบ 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ส่วนเรื่องจริยธรรมที่ตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต อาจจะโดนแค่คนที่เสนอให้แก้มาตรา 112 เท่านั้น

“ปิยบุตร” ยุสู้กลับศาล รธน.ล้ำเเดน

วันเดียวกัน นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญ รัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และพรรค ก.ก. เสนอแก้ไขมาตรา 112 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขว่า “ข้อเสนอทาง กฎหมายที่พอเป็นไปได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน” การต่อสู้กับศาลรัฐธรรมนูญที่ใช้อำนาจล้ำแดนองค์กรอื่นๆ ต้องให้องค์กรที่ถูกล้ำแดนใช้อำนาจโต้กลับไป ยังพอหลงเหลือ อำนาจทำอะไรได้บ้างในเวลานี้ 1.แก้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ตีกรอบอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ให้รวมถึงการใช้อำนาจของรัฐสภาและการเสนอร่างกฎหมาย 2.แก้รัฐธรรมนูญ กำหนด ห้ามมิให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้าแทรกแซง สกัดขัดขวาง กระบวนการนิติบัญญัติ เว้นแต่กรณีการตรวจสอบว่าร่าง พ.ร.บ.ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบ และยังไม่ทูลเกล้าฯ 3.แก้รัฐธรรมนูญและ พ.ร.ป.ศาลรัฐธรรมนูญ ตีกรอบและจำกัดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ 4.แก้ พ.ร.ป.ศาลรัฐธรรมนูญ ยกเลิกความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ 5.แก้รัฐธรรมนูญ เปลี่ยนองค์ประกอบและที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 6.แก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ และกำหนดให้องค์กรอื่นทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญแทน

ศาลไม่ได้มีคำบังคับห้ามแก้ ม.112

นายปิยบุตรโพสต์อีกว่า 7.หากอ่านจากคำบังคับของศาลรัฐธรรมนูญ จะเห็นได้ว่าศาลสั่ง ดังนี้ หนึ่ง สั่งการให้พรรค ก.ก. และนายพิธาเลิกแสดงความเห็นเพื่อให้มีการยกเลิก 112 สอง ไม่ให้มีการแก้ไข 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ คำนี้น่าจะอนุมานจากคำวินิจฉัยนี้ได้ว่า ห้ามแก้ใน 3 ประเด็นที่ศาลบอกว่าเป็นการล้มล้างฯ ได้แก่ ห้ามย้ายหมวด ห้ามกำหนดเหตุยกเว้นความผิด เหตุยกเว้นโทษ ห้ามกำหนดให้ยอมความได้ และห้ามกำหนดให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ดังนั้น ศาลไม่ได้มีคำบังคับสั่งห้ามแก้ 112 โดยเด็ดขาด ยังคงเสนอแก้ 112 ในประเด็นอื่นได้ เช่น ลดโทษจำคุก ยกเลิกโทษขั้นต่ำ จำคุก 3 ปี แยกฐานความผิดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย ออกจากกัน กำหนดให้นายกฯหรือ คณะกรรมการพิเศษทำหน้าที่ร้องทุกข์กล่าวโทษคดี 112 เป็นต้น แน่นอน อาจกล่าวกันว่าไม่มีทางสำเร็จ จะไปหาเสียงข้างมากจากไหน จะผ่านด่าน สว.หรือไม่ และสุดท้าย ศาลรัฐธรรมนูญจะขวางอีก แต่อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยที่ฝากให้ผู้แทนราษฎร ใช้แทน ก็มีพลังและสามารถแสดงบทบาทตอบโต้ศาลรัฐธรรมนูญได้ การนิ่งเฉย ไม่ทำอะไรกับศาลรัฐธรรมนูญเลย ก็จะทำให้การเมืองไทยวนลูป และปล่อยให้พวกเขา “ขีดวง” อำนาจของประชาชนและผู้แทนราษฎรให้น้อยลงหดแคบไปเรื่อยๆ

แกนนำเรียกถก สส.ปลุกใจสู้ยุบพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรค ก.ก.หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรค ก.ก. และพรรค ก.ก.เสนอแก้ไข มาตรา 112 เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อวันที่ 31 ม.ค. แกนนำพรรค ก.ก.นัดประชุม สส.พรรค ก.ก.เป็นการภายใน ช่วงเย็นวันที่ 1 ก.พ. โดยแจ้งสั่งเก็บโทรศัพท์มือถือผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน เบื้องต้นเพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน จะมีแกนนำพรรคเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ทั้งนายพิธา นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค ก.ก. เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจร่วมกันเป็นครั้งเเรก หลังจากคำวินิจฉัยล้มล้างการปกครองปรากฏออกมา รวมถึงประเด็นที่มีการวิเคราะห์ไปต่างๆนานาถึงผลกระทบทางคดีดังกล่าว อาจทำให้พรรค ก.ก.ถูกยุบพรรค หรือมีข่าว กก.บห.หรือ สส.จะโดนตัดสิทธิทางการเมือง แกนนำพรรคจึงนัดประชุมเพื่อให้ สส.ทุกคนรับฟังสถานการณ์ ทิศทางการเมืองและทิศทางพรรค ก.ก.หลังจากนี้จากทางพรรคเท่านั้น

“พิธา” ไม่กังวลนักร้องลุยขยี้ต่อเนื่อง

เมื่อเวลา 16.00 น. ที่รัฐสภามีการประชุม สส.พรรค ก.ก. โดยมีแกนนำเข้าร่วมพร้อมเพรียง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก.ก.ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุม สส.ว่า ขอประชุม สส.พรรคประจำเดือนก่อนว่าเดือนนี้พรรคมีอะไรต้องทำบ้าง ช่วงตรุษจีนพื้นที่ไหน ใครทำอะไร ไม่ย่อท้อ จะวางแผนลงพื้นที่ต่อก่อน สส.กลับบ้านกัน ถือโอกาสประชุมประจำเดือนไปเลย เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่หลายคนเริ่มไปร้องเรียนแล้ว นายพิธาตอบว่า ยังไม่กังวล ว่ากันไปตามกระบวนการ วาระวันนี้คือการหารืองานเดือน ก.พ.และสถานการณ์การเมืองต่อจากเมื่อวันที่ 31 ม.ค. คงไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้

“ต๋อม” รับลบนโยบายแก้ 112 พ้นเว็บไซต์

ด้านนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ว่า จะพูดคุยกับ สส.ทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ตรงกัน และหารือการทำงานของพรรคหลังจากนี้ สส.จะยังทำงานตามปกติ เมื่อถามถึงกรณีเว็บไซต์พรรคลบนโยบายแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ออก นายชัยธวัชกล่าวว่า เนื่องจากฝ่ายกฎหมายเห็นว่าเป็นประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญหยิบขึ้นมาอยู่ในคำวินิจฉัยด้วย ว่าการที่ยังมีนโยบายเรื่องนี้อยู่ในเว็บไซต์เป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่บทสรุปว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง ความจริงเราไม่คิดว่าจะเป็นประเด็นสาระสำคัญ เมื่อถามถึงกรณีที่ สส.หรือสมาชิกพรรคยังมีความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมาย มาตรา 112 ในสื่อโซเชียลมีเดีย นายชัยธวัชกล่าวว่า คำวินิจฉัยไม่ได้บอกว่า สส.จะเสนอแก้ไขปรับปรุงมาตรา 112 ไม่ได้ ไม่ว่า สส.พรรคไหน การที่สมาชิกพรรคบางส่วนยังมีความเห็นว่าควรแก้ไขมาตรานี้ยังทำได้ เพียงแต่ต้องดูว่าอะไรคือการเสนอกฎหมายโดยชอบตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ทีม ก.ม.เตรียมพร้อมสู้คดีจริยธรรมไว้แล้ว

เมื่อถามว่ามีอดีต สส.พรรค ก.ก.อาทิ น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา อดีต สส.นครปฐม นายกัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี อดีต สส.บัญชีรายชื่อ เข้าร่วมประชุมด้วย เพราะเป็น 1 ใน 44 รายชื่อที่ยื่นร่างแก้ไข มาตรา 112 เมื่อปี 64 หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ไม่แน่ใจแต่น่าจะมาประชุมคณะ กมธ.ไม่ใช่วาระจะคุยกับกลุ่ม สส. 44 คน เมื่อถามถึงข้อกังวลหากถูกร้องจริยธรรมอาจมีโทษถึงการตัดสิทธิ์ทางการเมือง นายชัยธวัชกล่าวว่า เรื่องจริยธรรมเป็นคนละเรื่องกับการถูกร้องยุบพรรค เป็นคนละกระบวนการ น่าจะใช้เวลามากกว่า ไม่ได้บอกว่าหากเป็นคดีจริยธรรมแล้วถูกตัดสินว่าผิดต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตขึ้นอยู่กับศาล ส่วนนี้ฝ่ายกฎหมายพรรคเตรียมต่อสู้ไว้อยู่แล้ว เรายังคงต้องรอดูคำวินิจฉัยตัวเต็ม ยังมีรายละเอียดทางกฎหมายอยู่ ไม่ว่าจะโดนร้องเรื่องอะไร ตอนนี้รอดูคำวินิจฉัยตัวเต็ม เพราะจะมีความสำคัญทางข้อกฎหมาย

ยอมรับมีความเสี่ยงถูกยุบพรรค

นายชัยธวัชกล่าวอีกว่า ส่วนการนัดทานอาหารค่ำของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไร จะคุยเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยหรือไม่ คุยได้ทุกเรื่อง ไม่ได้มีวาระประชุมเป็นทางการ เมื่อถามว่า ส่วนตัวได้ประเมินถึงการยุบพรรคไว้หรือไม่ นายชัยธวัชระบุว่า ต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงอย่างน้อยวันนี้มีคนไปร้องแล้ว ต้องเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

“วันนอร์” ยังไม่ชี้ชัดห้าม สส.แตะ ม.112

ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุการแก้ไขมาตรา 112 เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขว่า ต้องรอดูคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเพื่อนำมาพิจารณา และให้ฝ่ายกฎหมายดูรายละเอียดเสนอมาพิจารณาอีกครั้ง เมื่อถามว่าหลังจากนี้การประชุมสภาฯ ไม่ควรพูดพาดพิงสถาบันใช่หรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ตอบว่า โดยปกติแล้วมีข้อบังคับกำหนดไว้ไม่ให้พูดถึงเรื่องสถาบัน ห้ามพูดถึงบุคคลภายนอก หากพูดไปผู้พูดต้องรับผิดชอบ เมื่อถามย้ำว่า หลังจากนี้เรื่องมาตรา 112 ไม่สามารถนำมาพูดในสภาฯได้อีกแล้วใช่หรือไม่ ประธานสภาฯตอบว่า ไม่สามารถวิจารณ์ได้ ขอดูรายละเอียดคำวินิจฉัยทั้งหมดก่อน และฝ่ายกฎหมายจะเสนอให้ประธานและรองประธานสภาฯรับทราบต่อไป ส่วนการยื่นตรวจสอบจริยธรรม 44 สส.พรรคก้าวไกล ที่เข้าชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของผู้ร้อง และผู้ถูกร้องต่อองค์กรอิสระ เป็นเรื่องนอกสภาฯไม่อาจก้าวล่วงได้

นศ. 9 สถาบันออกโรงค้านคำวินิจฉัย

วันเดียวกัน เครือข่ายองค์การนิสิตนักศึกษาฝ่ายบริหาร 9 มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย องค์การนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ องค์การนักศึกษา ม.ขอนแก่น องค์การบริหารองค์การนิสิต ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน สโมสรนักศึกษา ม.เชียงใหม่ องค์การบริหารองค์การนักศึกษา ม.วลัยลักษณ์ องค์การนิสิต ม.นเรศวร องค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย องค์การนิสิต ม.บูรพา และองค์การนิสิต ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมกันออกแถลงการณ์ใจความว่า 9 มหาวิทยาลัย เห็นพ้องต้องกันว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้สร้างบรรทัดฐานทางการเมืองที่ไม่ถูกต้อง เป็นอีกครั้งที่สถาบันตุลาการเข้ามาแทรกแซงระบบการเมืองไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่านับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา ผลของคำตัดสินครั้งนี้ได้สร้างความกังวลว่า อาจนำไปสู่การดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง หรือนำไปสู่การยุบพรรคที่มิชอบธรรมตามครรลองประชาธิปไตย ขอส่งเสียงเรียกร้องถึงผู้มีอำนาจให้ทราบและตระหนักถึงอนาคตของประเทศชาติ

นายกฯพักรักษาไข้หวัดใหญ่วันที่ 2

สำหรับความเคลื่อนไหวนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 1 ก.พ. นายกฯยังคงพักรักษาจากอาการป่วยเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ A ที่บ้านพักสุขุมวิท 16 เป็นวันที่สอง หลังจากแจ้งลาป่วยเป็นเวลา 2 วัน โดยเบื้องต้นงดทำงานผ่านระบบซูม ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดเปิดเผยว่า นายกฯมีอาการดีขึ้นและไม่มีไข้แล้ว ขณะที่ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยแพร่นายกฯกล่าวถ้อยแถลงในกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวไทย ผ่านแพลตฟอร์ม CTrip เชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวจีน เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ซึ่งเป็นการบันทึกเทปไว้ตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค. ส่วนภารกิจนายกฯวันเดียวกันยังคงมอบหมายรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่แทน ขณะที่วันที่ 2 ก.พ. อยู่ระหว่างแพทย์ขอดูอาการและประเมินอีกครั้งว่าอาการดีขึ้นหรือไม่ หากนายกฯจะกลับมาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล

มอนิเตอร์ตามงาน-สั่งการแก้ PM 2.5

ต่อมาเวลา 11.30 น. นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่นายเศรษฐาป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A โดยแพทย์ให้ยาต่อเนื่อง 3 วัน และให้พักผ่อนให้เพียงพอ โดยวันที่ 1 ก.พ. นายกฯรับยาครบ 3 วันตามแพทย์สั่งและพ้นภาวะแพร่เชื้อแล้ว เบื้องต้นจะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 2 ก.พ. ช่วงพักรักษาตัวที่บ้าน นายกฯยังคงติดตามการทำงานและสั่งการต่างๆ เช่น กรณีปรากฏภาพถ่ายทางดาวเทียมจุดความร้อนจากการเผาไหม้ (hot spot) ในกัมพูชาจำนวนมาก นายกฯได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานฝ่ายกัมพูชา และวันที่ 2 ก.พ. นายจักรพงษ์ แสงมณี รมช.ต่างประเทศ จะโทรศัพท์พูดคุยกับนายเอียง สุภัลเลธ (Eang Sophalleth) รมว.สิ่งแวดล้อมของกัมพูชา เพื่อเร่งแก้ไข PM 2.5 ร่วมกัน

กมธ.จ่อเรียก 2 อธิบดีแจงการใช้งบฯ

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ แถลงว่า กมธ.จะบรรจุระเบียบวาระการพิจารณางบฯเกี่ยวกับกรมการข้าว กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปรากฏเป็นข่าวตามที่นายศรีสุวรรณ จรรยา และนายยศวริศ ชูกล่อม กล่าวถึง โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับคำถามจำนวนมากเกี่ยวกับงบฯทั้ง 2 กรมว่าส่อเค้าทุจริตหรือไม่ จึงอยากใช้พื้นที่ กมธ.ให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย เบื้องต้นมอบให้ฝ่ายเลขานุการ กมธ.ตรวจสอบข้อร้องเรียนแล้ว รวมถึงประสานไปยังอธิบดีทั้ง 2 กรม อธิบดีกรมฝนหลวงพร้อมมาชี้แจง กมธ.วันที่ 15 ก.พ. ส่วนกรมการข้าวยังไม่ได้รับการยืนยัน อยากใช้เวที กมธ.เปิดโอกาสให้อธิบดีมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ จะทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ทั้งนี้ กรณีที่นายศรีสุวรรณมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กมธ.ให้ตรวจสอบการใช้งบฯของกรมฝนหลวงและการบินเกษตรนั้น มีข้อสังเกตคือพยายามขอให้ สส.ก้าวไกลเป็นคนลงไปรับหนังสือ มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า ทั้งนายศรีสุวรรณ และนายยศวริศ ใช้ กมธ.เป็นเครื่องมือเรียกตบทรัพย์จริง

เค้นกรมฝนหลวงล็อกสเปกเครื่องบิน

น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษก กมธ.ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ กล่าวว่า ตั้งแต่ กมธ.ได้รับหนังสือร้องเรียนจากนายศรีสุวรรณและนายยศวริศ มีการตั้งข้อสังเกตว่า อยากให้ประธาน กมธ.หรือสส.พรรค ก.ก. ลงไปรับหนังสือด้วยตัวเอง เป็นเรื่องที่ กมธ.ต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ในส่วนกรมฝนหลวง มีข้อสังเกตที่แนบมาในหนังสือร้องเรียนคือมีการล็อกสเปกจัดซื้อเครื่องบิน 2 ลำ มูลค่า 1,188 ล้านบาท โดยให้ประเทศเดียวส่งทีโออาร์เข้าร่วมประมูลและมีการไปดูงานที่บริษัทที่ส่งทีโออาร์เข้ามาร่วมประมูล

มึนได้แค่คู่มือใช้ปุ๋ยแทนคำตอบ

นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. กล่าวว่า เคยสอบถามรองอธิบดีกรมการข้าวที่มาชี้แจง กมธ.เดือน ต.ค.66 ถึงเรื่องร้องเรียน อาทิ งานวันข้าวแห่งชาติปี 2566 ใช้งบฯจัดงาน 5 ล้านบาท มีการให้หน่วยงานราชการ เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้จัดจ้างงาน ใช้อุปกรณ์ภาครัฐจัดงาน ทั้งที่ในทีโออาร์เขียนให้ออร์กาไนซ์เป็นผู้จัดงาน ได้สอบถามไปยังกรมการข้าวแต่ผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้วยังไม่ได้คำตอบ ล่าสุดการจัดงานวันข้าวแห่งชาติ วันที่ 4-6 มิ.ย. มีการเพิ่มงบฯจัดงานเป็น 15 ล้านบาท ถือว่าเหมาะสมหรือไม่กับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ และใครเป็นผู้ได้สัมปทานงานนี้ ยังจำเป็นต้องใช้พนักงานภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างและทำงานเองหรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีงบประมาณจัดซื้อปุ๋ยจุลินทรีย์ ที่ปัจจุบันปุ๋ยในประเทศขาดแคลนทำให้ราคาปุ๋ยเพิ่มจาก 700 เป็น 1,000 บาท จึงเกิดโครงการปุ๋ยจุลินทรีย์ แต่ปรากฏว่า มีการส่งงบประมาณปุ๋ยจุลินทรีย์ไปตามศูนย์ข้าวต่างๆ ในปริมาณเท่ากัน ทั้งที่จำนวนศูนย์ข้าวแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน กมธ.ยังไม่ได้คำตอบเรื่องนี้เช่นกัน ได้เพียงแค่คู่มือการใช้ปุ๋ยหวังว่าข้อสงสัยเหล่านี้อธิบดีจะมาตอบคำถามด้วยตัวเอง

พท.-ก.ก.จับมือแก้ประชามติ 2 ชั้น

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ รับร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประชามติ 2 ฉบับจากพรรคร่วมรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นผู้เสนอ และจากพรรคร่วมฝ่ายค้านที่พรรคก้าวไกลเป็นผู้เสนอ โดยนายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า จะนำร่างทั้ง 2 ฉบับให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯบรรจุเป็นระเบียบวาระการประชุมตามขั้นตอนโดยเร็ว เพราะมีเวลาในสมัยประชุมนี้อีกราว 2 เดือน 10 กว่าวัน ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท.กล่าวว่า กฎหมายฉบับปัจจุบันกำหนดให้การออกเสียงประชามติเป็นเสียงข้างมาก 2 ชั้น ชั้นที่ 1 คือผู้มาใช้สิทธิ์ต้องเป็นเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด ชั้นที่ 2 ต้องเป็นเสียงข้างมากของผู้ใช้สิทธิ์ สุ่มเสี่ยงหากประชาชนไม่ออกมาใช้สิทธิ์หรือไม่ประสงค์ใช้สิทธิ์ จะทำให้เกิดปัญหา พรรค พท.เห็นพ้องว่าควรแก้ให้ใช้เสียงข้างมากเกินเสียงของผู้ไม่ประสงค์จะใช้สิทธิ์ออกเสียง

เปิดทางลงมติพร้อมวันเลือกตั้ง

นายชูศักดิ์กล่าวต่อว่า มีอีก 3 ประเด็นควรแก้ไปพร้อมกัน คือการออกเสียงลงคะแนน ต้องใช้งบฯราว 3,000 ล้านบาท หากกำหนดการออกเสียงประชามติใกล้เคียงกับวันเลือกตั้งทั่วไปหรือวันเลือกตั้งท้องถิ่นก็น่าจะจัดไปพร้อมกันในวันเดียวได้เพื่อประหยัดงบฯประชาชนไม่ต้องออกมาหลายครั้ง อีกส่วนควรใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาพัฒนาวิธีการออกเสียงนอกจากการไปกาบัตร เช่น การส่งไปรษณีย์ หรือออนไลน์ และควรเขียนให้ชัดในเรื่องการรณรงค์ไปออกเสียงประชามติไว้ในกฎหมายว่า กกต.จำเป็นต้องทำ รวมถึงเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นได้โดยเสมอภาค

ก้าวไกลชูออกเสียงผ่านออนไลน์

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. กล่าวว่า พรรคก้าวไกลชูการแก้ไขใน 3 ประเด็น 1.ทำให้กติกามีความเป็นธรรมมากขึ้นเนื่องจากข้อกังวลของหลักการเสียงข้างมาก 2 ชั้น เราเข้าใจว่าผู้ออกกติกาตั้งใจให้ประชามติมีผลต่อประชาชนจำนวนมาก แต่เสี่ยงเปิดช่องให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับประเด็นที่ถูกถามใช้วิธีการนอนอยู่บ้าน ไม่ออกมาใช้สิทธิ์คว่ำประชามติ โดยเปลี่ยนให้เป็นเสียงเกินกึ่งหนึ่ง 1 ชั้น คือให้เสียงผู้เห็นชอบมีเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์ 2.การปลดล็อกให้ กกต.จัดทำประชามติในวันเดียวกันกับการเลือกตั้งอื่นๆได้เพื่อประหยัดงบฯสอดคล้องกับพรรค พท.และทำให้ กกต. ยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะเดียวกันเพื่อป้องกันไม่ให้ ครม.ใช้เป็นข้ออ้างเลื่อนวันทำประชามติออกไป และ 3.ให้ประชาชนออกเสียงประชามติทันสมัยผ่านช่องทางออนไลน์ได้ 

 “ไอลอว์” นำเครือข่ายชง ก.ม.นิรโทษ

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ตัวแทนเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน และนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อประชาชน (ไอลอว์) จัดกิจกรรมเปิดตัวรถ “Le Truck-รักเธอ” ที่จะใช้เดินสายรณรงค์รวบรวมรายชื่อประชาชนเข้าชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ก่อนเข้ายื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ให้ประธานสภาฯพิจารณา มีนายพงษ์สรณัฐ ทองลี เลขานุการรองประธานสภาฯ คนที่ 1 เป็นผู้รับเรื่อง โดยนายยิ่งชีพกล่าวว่า เราจัดกิจกรรมด้วยรักและยุติธรรมเพื่ออยากให้ทุกคนร่วมกันส่งเสียงเข้าชื่อผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ในเทศกาลแห่งความรัก 1-14 ก.พ.อย่างต่อเนื่อง 14 วัน ส่งร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ เข้าสภาฯไปให้ไกลที่สุด เพื่อช่วยคนที่อยู่ในเรือนจำและอาจต้องเข้าเรือนจำ ต่อมาช่วงบ่ายกลุ่มดังกล่าวได้เดินทางไปยื่นหนังสือในเรื่องเดียวกันให้พรรค พท.และพรรค ก.ก.

“เดียร์” น้ำตาคลอตั้ง กมธ.นิรโทษฯ

ต่อมาเวลา 12.45 น. มีการประชุมสภาฯ โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯทำหน้าที่การประชุม เพื่อพิจารณาญัตติด่วน ขอให้สภาฯตั้งคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยมี น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท.เป็นผู้เสนอญัตติว่า การเสนอตั้งคณะ กมธ.วิสามัญฯ เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และแนวทาง สาระสำคัญการนิรโทษกรรมให้ได้ข้อยุติ ก่อนเสนอเป็นร่างกฎหมายต่อสภาฯ แม้ในอดีตจะเคยศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองสมานฉันท์มาแล้ว โดยคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อสร้างความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) แต่บริบทและมูลเหตุความขัดแย้งแตกต่างจากปัจจุบัน ต้องดำเนินการให้สอดคล้องสถานการณ์ ไม่ให้มีคนไทยถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนทางกฎหมาย กุญแจที่ปลดโซ่ตรวนคือการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นจุดเริ่มต้นว่าทุกคนเห็นต่างขัดแย้งกันได้ภายในกรอบกติกา แม้การเสนอตั้ง กมธ.วิสามัญฯอาจถูกตั้งคำถามเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ผิดแก่ผู้กระทำผิด รัฐบาลยื้อเวลาหรือไม่ อาจกังวลจะยัดไส้นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่รัฐทำผิดกฎหมายต่อผู้ชุมนุม ยืนยันไม่ใช่การสร้างบรรทัดฐานที่ผิด แต่ปลดโซ่ตรวนความขัดแย้ง ไม่ใช่ยื้อเวลา เมื่อเห็นต่างจึงต้องตั้ง กมธ.เชิญชวนทุกกลุ่มมาหาทางออกอย่างรอบคอบ ไม่ให้เกิดชนวนขัดแย้งครั้งใหม่ “ในฐานะเคยสูญเสียจากเหตุการณ์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำที่รุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ ขอยืนยันในหลักการ จะไม่ให้นิรโทษกรรมต่อความผิดที่เกิดแก่ชีวิตโดยเด็ดขาด” 

พปชร.โชว์ 4 จุดยืนสนับสนุน

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐสนับสนุนญัตตินี้ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง หาทางออกให้ประเทศ จุดยืนของพรรคต่อการนิรโทษกรรมมี 4 ข้อคือ  1.ไม่นิรโทษกรรมให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง 2.ไม่ นิรโทษกรรมให้บุคคลใดที่ทำผิดกฎหมายร้ายแรงเกิดความเสียหายแก่ชีวิต ทรัพย์สิน ระบอบการปกครอง 3.การนิรโทษกรรม ถ้าจะเกิดขึ้น ต้องเป็นความเห็นชอบจากทุกฝ่าย ทุกสี ไม่เพิ่มความขัดแย้ง 4.ไม่เห็นด้วยการนิรโทษกรรมคนที่ทำผิดมาตรา 112 เราไม่เอา ที่ผ่านมาทุกม็อบ ทุกสีเสื้อ ล้วนทำผิดกฎหมาย แต่ต้องมาดูใครทำผิดมาก และใครอยู่เบื้องหลังทำผิดจริงๆ พวกนี้ยกโทษให้ไม่ได้ แต่พวกวัยรุ่นที่ไปร่วมด้วยอุดมการณ์ วันรุ่งขึ้นกลับอยู่ในคุก เจอหมาย ถูกตัดอนาคต จึงควรเปิดโอกาสหาทางออกให้นักชุมนุมที่ไม่มีความผิดหรือความผิดน้อย ทุกการชุมนุมน้องๆที่มีอุดมการณ์ ไม่ได้เป็นคนเริ่ม แต่มีผู้นำลัทธิอยู่เบื้องหลัง แต่บางครั้งอุดมการณ์ไม่ได้เป็นทางออกในทุกเรื่อง

สภาฯตั้ง 35 กมธ.ศึกษาใน 60 วัน

ต่อมาเวลา 15.50 น. นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค ก.ก. อภิปรายว่า เห็นด้วยกับการตั้ง กมธ.วิสามัญฯ แต่เห็นว่าการนิรโทษกรรมครั้งนี้ต้องระวัง ไม่สร้างความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหม่ อย่าให้การนิรโทษกรรมกลายเป็นการนิรโทษกรรมที่ไม่นำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง ไม่สามารถถอดสลักระเบิดสังคมไทยในอนาคต หวังว่าจะมีความร่วมมือกันถอดหัวโขนทางการเมืองออก หันหน้ามาพูดคุยกัน แสวงหาทางออกเรื่องนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง เป็นประตูบานแรกเปลี่ยนการเมืองแห่งความเกลียดชัง ความเคียดแค้น เป็นจุดเริ่มต้นสร้างการเมืองแห่งความรัก ความเข้าใจ สร้างความปรารถนาดีกัน ให้เป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันได้ แม้จะไม่เห็นตรงกันทุกเรื่อง หลังอภิปรายเสร็จสิ้น ที่ประชุมสภาฯเห็นชอบให้ตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 35 คน มาพิจารณาให้เสร็จใน 60 วัน

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่