ผ่านดาบแรกมาได้คงคิดว่าดาบต่อไปไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรง สำหรับ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรค “ก้าวไกล” เกี่ยวกับคดี “ถือหุ้นสื่อ” เพราะศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าไม่มีความผิด
ยังคงทำหน้าที่ ส.ส.ต่อไปได้
แต่พอมาถึงดาบ 2 เรื่องที่มีการร้องว่า “พิธา” ผู้ถูกร้องที่ 1 และ “ก้าวไกล” ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่หาเสียงให้มีการแก้ไข ม.112
ปรากฏว่าดาบนี้ไม่รอด
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีความผิดในข้อหา “ล้มล้างการปกครอง” และสั่งให้ยุติการกระทำดังกล่าว
เพราะศาลเชื่อว่ามีเจตนาที่ต้องการลดทอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ด้วยเจตนาและกระทำอย่างต่อเนื่อง เป็นขั้นเป็นตอนแม้จะอ้างว่าเป็นสิทธิและเสรีภาพแต่เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย
ยิ่งไปกว่านั้นได้มีพฤติกรรมหลายครั้งหลายหนที่ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าต้องการที่จะแก้ไขเพื่อให้สถาบันได้รับการยกย่องสูงขึ้น แต่ความจริงแล้วเป็นการลดทอนพระราชอำนาจมากกว่า
เหล่านี้ยังเป็นการทำให้ความมั่นคงของประเทศเกิดปัญหา
จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาในลักษณะนี้ถือเป็นโทษร้ายแรงกว่าที่คาดการณ์กันอย่างที่แกนนำ “ก้าวไกล” ระบุว่าจะเป็นเพียงแค่ให้หยุดการกระทำดังกล่าว
แต่นี่หนักหนาแน่คือ “ล้มล้างการปกครอง”...
จากนี้ไปผลพวงจากคำวินิจฉัยนี้สามารถดำเนินการได้ 2 ลักษณะ
1.ยื่นคำร้องให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความผิดล้มล้างการปกครองนี้จะถึงขั้น “ยุบพรรค” หรือไม่เวลานี้ได้มีการยื่นคำร้องให้ กกต.พิจารณาแล้ว
2.ยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช.พิจารณาว่าความผิดดังกล่าวขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่
...
ว่าไปแล้วทั้ง 2 กรณี ล้วนเป็นความผิดทางการเมืองในขั้นร้ายแรงก็ว่าได้ อย่างกรณีให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ “ยุบพรรค” นั้นมีความเป็นไปได้สูงเนื่องจากเป็นความผิดที่ร้ายแรงหากผลออกมาเช่นนั้น
หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคทั้งชุดจะต้องพ้นจากตำแหน่งและถูกตัดสิทธิทางการเมืองอย่างแน่นอน
เมื่อพรรคถูกยุบแล้วบรรดา ส.ส.ก็ต้องหาหาพรรคการเมืองสังกัดภายในเวลาที่กำหนดหากเกินเวลาก็ต้องพ้นจากความเป็น ส.ส.ทันที
นั่นทำให้ “ก้าวไกล” เกิดปัญหาแน่
แม้จะมีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไปกันทุกคนหรือไม่ เพราะบางคนอาจจะหน่ายกับปัญหาที่เกิดขึ้น
หรือมิฉะนั้นก็แยกไปสังกัดพรรคการเมืองที่พร้อมจะรับเข้าเป็นสมาชิก
แต่ที่แน่ๆ “ก้าวไกล” คงไม่เหมือนเดิมแล้ว
อีกทางหนึ่งคือการยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช.พิจารณาความผิดในข้อหาขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองอย่างที่ “ปารีณา ไกรคุปต์” และ “พรรณิการ์ วานิช” ถูกคำสั่งดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งมีโทษหนักต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
ซึ่งไม่ว่าใครจะโดนบ้างแต่ที่แน่ๆ “พิธา” คงไม่รอด เพราะในฐานะหัวหน้าพรรคและมีพฤติกรรมชัดเจน และต่อเนื่องจนไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็เรื่อง ม.112 นี่แหละ
หลังจากรอดคดี “หุ้นสื่อ” ที่บอกว่าหากออกจากสภาอีกครั้งคราวนี้จะไปสู่ทำเนียบไม่ไปที่อื่นแล้ว
ก็คงจะได้ไปจริงๆ แต่ไม่ใช่ “ทำเนียบ”
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม