ในที่สุด พรรคก้าวไกล ก็ไปไม่รอด เมื่อ ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์ การเสนอแก้ไขมาตรา 112 ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ในขณะนั้น) ผู้ถูกร้องที่ 1 และ พรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 โดยมี ส.ส.พรรคก้าวไกลร่วมลงชื่อ 44 คน เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ตามคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร อดีตทนายความของอดีตพุทธะอิสระ แม้ศาลฯจะไม่ได้วินิจฉัยให้ยุบพรรคก้าวไกล แต่คำพิพากษานี้ย่อมมีผู้นำไปร้อง กกต. เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคก้าวไกล แน่นอน
อนาคตของ พรรคก้าวไกล จะเดินตาม พรรคอนาคตใหม่ หรือไม่ ต้องดูกันต่อไป
ในคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ได้รับฟังข้อมูลอย่างรอบด้านครบถ้วนแล้ว พบว่า แม้การเสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 จะเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 113 และร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้รับการบรรจุในสภาก็ตาม แต่ร่างกฎหมายนี้ดำเนินการโดยผู้ถูกร้องทั้งสองทั้งสิ้น ผู้ถูกร้องทั้งสองได้ร้องต่อศาลฯว่า ได้เสนอต่อคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อหาเสียงเลือกตั้งแต่ปี 2566 แล้ว แต่ปัจจุบันยังมีปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ของพรรคก้าวไกล และเสนอเป็นนโยบาย มีเนื้อหาทำนองเดียวกับการแก้ไขมาตรา 112 ถือได้ว่าพรรคก้าวไกลและนายพิธามีพฤติกรรมที่แสดงออก เพื่อต้องการลดทอนอำนาจพระมหากษัตริย์ลง โดยอาศัยอำนาจทางนิติบัญญัติผ่านทางสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมรณรงค์หาเสียงผ่านรูปแบบของพรรคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้ประชาชนหลงไปตามความคิดเห็นได้
ศาลฯระบุว่า การใช้เป็นนโยบายหาเสียงต่อเนื่อง เป็นการนำสถาบันลงมาเพื่อหวังผลในการเลือกตั้ง ทำให้สถาบันเข้าไปเป็นฝักฝ่ายในการรณรงค์ทางการเมือง อันไม่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีเจตนาเซาะกร่อนพระมหากษัตริย์ให้อ่อนแอลง ดังนั้นข้อโต้แย้งของทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น
...
อีกทั้งผู้ถูกร้องทั้งสอง ได้รณรงค์ปลุกเร้ากับกลุ่มการเมืองต่างๆและยังพบว่า มีสมาชิกพรรคก้าวไกลทั้งในอดีตและปัจจุบัน เคยจัดชุมนุมยกเลิกมาตรา 112 โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว และมีพฤติกรรมเป็นนายประกัน ทั้งยังพบว่ายังมี สส.ในพรรคพบคดีในมาตรา 112 อีกหลายคน ผู้ถูกร้องทั้งสองจึงไม่อาจโต้แย้งได้ว่า เป็นการเห็นต่างหรือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมือง
ศาลรัฐธรรมนูญ จึงวางมาตรฐานว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง และดำรงความเป็นกลางทางการเมือง การกระทำใดที่ถือเป็นการเซาะกร่อนทำลาย ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง อีกทั้งการแสดงสิทธิเสรีภาพต้องไม่ละเมิดบุคคลอื่นด้วย ต้องไม่กระทบต่อชาติ ความสงบเรียบร้อย แต่ผู้ถูกร้องทั้งสองมีการแสดงออกซ่อนเร้นโดยใช้มาตรา 112 มีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องและมีกระบวนการ ทั้งการชุมนุม การยื่นต่อสภาและใช้เป็นนโยบายการหาเสียง จึงไม่ไกลเกินเหตุที่จะล้มล้างการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 วรรค 1
แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญ ก็วินิจฉัยตัดสินว่า
“ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 1 และ สั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสอง เลิกการกระทำ เลิกแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกมาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยวิธีการที่ไม่ใช่ กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 2 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 74”
ช่วงท้ายศาลฯได้เตือนผู้ที่จะ วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลฯ ว่า หากกระทำโดยไม่สุจริตใช้ถ้อยคำหรือมีความหมายหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาดร้าย จะมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล จาก พรรคอนาคตใหม่ สู่ พรรคก้าวไกล อนาคตยังไม่รู้จะเป็นพรรคอะไร.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม