“เศรษฐา” นำพลพรรครัฐบาลเสนอร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 67 ยกสารพัดปัจจัยเสี่ยงต้องเร่งฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่โอ่จัดเก็บรายได้พุ่ง 2.91 ลล. วางกรอบใช้เงินตาม 6 ยุทธศาสตร์ใหญ่ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย พัฒนากองทัพเข้าถึงประชาชน แก้ รธน.บนหลักการที่เป็นไปได้ “ชัยธวัช” ฉะยับไส้ในเลื่อนลอย สะเปะสะปะ เป็นเหล้าเก่ามาใส่ขวดใหม่ ไร้ยุทธศาสตร์ไม่ยึดโยงนโยบายเร่งด่วนที่ประกาศไว้ เปลี่ยนปกมั่ว คาดการณ์รายได้เกินจริง ซัดรวมการเฉพาะกิจแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ “ศิริกัญญา” งงงบฯดิจิทัลล่องหน-กระตุ้น ศก.ทิพย์ เย้ย “ลุงตู่” ทิ้งมรดกดาวน์ไว้ให้ “เศรษฐา” มาผ่อนต่อ หยันกึ๋นเศรษฐกิจ พท.เหลือแค่นี้ “จุรินทร์” ตั้งฉายา “งบฯเป็ดง่อย-นักกู้ถุงเท้าสีชมพู” ฟาด “นายใหญ่” ชั้น 14 ติดคุกทิพย์ “ทวี” โต้เลือกปฏิบัติช่วย “ทักษิณ” “จุลพันธ์” ไม่รับสารพัดฉายาที่ฝ่ายค้านตั้ง

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เริ่มพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เป็นวันแรก สส.พรรคร่วมฝ่ายค้านชำแหละยับ หน้าปกดูดีส่องเนื้อในล้มเหลวไม่ตอบโจทย์วิกฤติเศรษฐกิจปากท้องอย่างที่รัฐบาลกล่าวอ้าง ลอกการบ้านรัฐบาลชุดที่แล้วมาแทบทั้งดุ้น

...

นายกฯไม่กังวลพร้อมแจงงบประมาณฯ

เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 3 ม.ค. ที่รัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ว่า เมื่อคืนวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา มีประชุมกับ สส.กรุ๊ปใหญ่ เกือบ 50 คน ทุกคนพร้อมที่จะตอบคำถาม เรามีหน้าที่จัดเตรียมงบฯ ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่สอบถาม ไม่ได้กังวลอะไร รัฐมนตรีทุกคนพร้อมชี้แจงพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อถามว่ายังไม่ทันเริ่มอภิปรายพรรคฝ่ายค้านก็บอกแล้วว่างบประมาณไม่ตรงปก นายเศรษฐาตอบว่า ก็เหมือนกับคำถามที่นักข่าวถามว่ายังไม่ทันอภิปรายเลยก็พูดกันแล้ว ขออภิปรายก่อนขอโอกาสก่อน ที่บอกว่าไม่ตรงคือตรงไหน จะให้ชี้แจงตรงไหน และจะอยู่สแตนด์บายทั้ง 3 วันที่สภา ยืนยันรัฐบาลจัดเตรียมงบฯด้วยความละเอียดรอบคอบร่วมกับสำนักงบประมาณ

“อ้วน” บ่นอย่าดราม่าการเมือง

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า รัฐบาลมีเวลา 3 เดือนในการปรับงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาจากที่รัฐบาลเดิมทำไว้ และทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ มีการวางยุทธศาสตร์แก้ปัญหาความยากจนของประชาชนและวิกฤติที่เกิดขึ้น ปูรากฐานเตรียมการแก้ปัญหา วันนี้เป็นโอกาสดีที่ฝ่ายค้านจะตรวจสอบ อยากให้ช่วยกันพิจารณาให้งบประมาณผ่าน เอาไปแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด ส่วนข้อกังวลว่าจะเป็นเวทีอภิปรายย่อยนั้น อย่าให้เป็นเวทีใช้วาทะหรือการสร้างดราม่า อาจได้ประโยชน์สำหรับคนทำแต่ไม่ได้ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ส่วนเสียงวิจารณ์ว่าส่งเอกสารงบประมาณให้ฝ่ายค้านล่าช้า ข้อเท็จจริงเรามีเวลาทำไม่กี่เดือน ทำเสร็จก็อยากให้งบฯรีบออกเร่งรีบส่งให้ เพราะเชื่อว่าฝ่ายค้านในยุคสมัยใหม่ มีเครื่องมือ มีคอมพิวเตอร์ มีแอปฯต่างๆมาดูมาปรับใช้ จริงๆก็ทำทัน เรามีเหตุผลรองรับอย่าเอามาเป็นดราม่าอีก

ก้าวไกลเย้ย รัฐบาลร้อนตัวแทน “ทักษิณ”

นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลและผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า การอภิปรายของพรรคก้าวไกลจะสะท้อนให้เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯฉบับนี้ยึดโยงกับนโยบายรัฐบาลที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ และจะสะท้อนสภาวะทางการเมืองที่เกิดขึ้นจริงของการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ด้วย เสียงวิจารณ์ว่างบประมาณไม่ตรงปก ไม่ใช่แค่เพิ่งมาเห็นในการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ เห็นมาตั้งแต่การจัดทำแถลงนโยบาย จนถึงแผนงานรายกระทรวง ปัญหาของงบประมาณมีหลายส่วน ตั้งแต่การประมาณการรายได้ที่เกินจริงไป เมื่อถามว่าจะมีการหยิบยกประเด็นของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาพูดด้วยหรือไม่ นายชัยธวัชตอบว่า เรื่องนี้ฝ่ายค้านไม่ได้พูด มองว่าฝั่งรัฐบาลอาจร้อนตัวไปนิด และในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ต้องกำกับไม่ให้ สส.ฝ่ายค้านด้วยกันเองมีปัญหา และให้การพิจารณางบประมาณเป็นไปตามเป้าหมายจริงๆ ไม่ใช่เวทีของการตบทรัพย์และเรียกรับผลประโยชน์

“เศรษฐา” นำทีมร่ายยาวงบฯปี 2567

ต่อมาเวลา 09.30 น. เริ่มประชุมสภาผู้แทน ราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระแรก มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง แถลงชี้แจงสาระสำคัญของร่างฯว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2567 จะขยายตัวร้อยละ 2.7-3.7 มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของภาคส่งออก การอุปโภค บริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยว แต่ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากการลดลงของแรงขับเคลื่อนด้านการคลัง ภาระหนี้สินภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ ยังอยู่ในระดับสูง ผลกระทบปัญหาภัยแล้ง ท่ามกลางความเสี่ยงจากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนสูงของเศรษฐกิจโลก คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ร้อยละ 1.7-2.7

เร่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้น

นายเศรษฐากล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจเป็นอันดับต้นๆ เพราะประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบ เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาลที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ทั้งการขยายการผลิต การท่องเที่ยวให้เข้าถึงเมืองรองมากขึ้น สนับสนุนการใช้อัตลักษณ์ไทยนำไปสู่การพัฒนา Soft Power ในระยะยาว นโยบายลดรายจ่าย เช่น การแก้หนี้ทั้งในและนอกระบบ ลดราคาพลังงาน ปรับโครงสร้างพลังงานให้เหมาะสม รัฐบาลจะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ สร้างขีดความสามารถการแข่งขัน ทำให้ระบบคมนาคมและโลจิสติกส์มีประสิทธิภาพ ลงทุนด้านน้ำที่ครอบคลุมทั้งระบบ ทรัพยากรธรรมชาติจะได้รับการดูแล

พัฒนากองทัพเข้าถึงประชาชน

นายกฯกล่าวอีกว่า อีกด้านที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือด้านสังคมและความมั่นคง ประชาชนต้องมีสุขภาวะที่ดีทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ เข้าถึงบริการสาธารณสุขได้รวดเร็วขึ้น อัปเกรดระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคให้ดียิ่งขึ้น พัฒนากองทัพให้ทันสมัยมากขึ้น ระบบเกณฑ์ทหารเปลี่ยนเป็นแบบสมัครใจ สร้างแรงจูงใจใหม่ๆ รวมถึงโอกาสประกอบอาชีพหลังปลดประจำการ เพื่อสถาบันทหารมีความเป็นมืออาชีพ มีภาพลักษณ์ดี ใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น ด้านการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่กินได้ สร้างจุดยืนเป็นประเทศแนวหน้าในภูมิภาค มีอำนาจต่อรอง ได้รับการยอมรับในสากล การพัฒนาศักยภาพคนไทย ขยายโอกาสการศึกษาให้ครอบคลุมไปถึงระดับวิชาชีพ พัฒนาทักษะสำหรับตลาดแรงงาน หรือผู้ประกอบการยุคใหม่ๆ

แก้ รธน.บนหลักการที่เป็นไปได้

นายเศรษฐากล่าวว่า ด้านการเมืองการปกครอง ประชาชนจะได้เห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แก้ไขจุดด้อยของฉบับที่ผ่านมาอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ จะแก้รัฐธรรมนูญบนหลักการที่เป็นไปได้มากที่สุดเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งใหม่ในสังคมไทย ประชาชนจะได้รับการบริการจากภาคราชการเร็วขึ้น ใช้งบประมาณรายจ่ายพัฒนารัฐบาลดิจิทัลให้เกิดเร็วยิ่งขึ้น ประชาชนได้รับบริการที่ดี รวดเร็ว สะดวก ไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารกระดาษอีกต่อไป

โอ่จัดเก็บรายได้พุ่ง 2.91 ล้านล้าน

นายกฯกล่าวว่า รัฐบาลยังจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบฯขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยประมาณการจัดเก็บรายได้รวม 2.91 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 จากปี 2566 มีหนี้สาธารณะคงค้าง 11.1 ล้านล้านบาท ยังอยู่ภายใต้กรอบบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐที่ร้อยละ 70 ฐานะเงินคงคลังอยู่ที่ 297,093 ล้านบาท รัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับเหมาะสม บริหารรายรับรายจ่ายให้มีประสิทธิภาพ งบประมาณรายจ่ายปี 2567 จำนวน 3.48 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 2,532,826 ล้านบาท หรือร้อยละ 72.8 รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 118,361 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4 รายจ่ายลงทุน 717,722 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.6 และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 118,320 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4

วางกรอบใช้เงิน 6 ยุทธศาสตร์ใหญ่

นายเศรษฐากล่าวต่อว่า งบฯปี 2567 จำแนกตาม 6 ยุทธศาสตร์ได้ดังนี้ 1.ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 390,149.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.2 เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง รับมือภัยคุกคาม ภัยพิบัติได้ทุกรูปแบบ 2.ยุทธศาสตร์สร้างความสามารถในการแข่งขัน 393,517 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.3 อาทิ พัฒนาความมั่นคงทางพลังงาน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล มีมาตรการเฝ้าระวังรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว สนับสนุนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมขนส่ง ระบบสาธารณูปโภค 3.ยุทธศาสตร์ด้านพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ 561,954 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.1 ให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีคุณภาพชีวิตดี การศึกษาได้รับการปฏิรูป พัฒนาระบบบริการสาธารณสุข อาทิ การพัฒนาคุณภาพการศึกษา

ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย

นายเศรษฐากล่าวว่า 4.ยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 834,240 ล้านบาท หรือร้อยละ 24 ให้คนไทยได้รับสวัสดิการพื้นฐานทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำทุกมิติ 5.ยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 131,292 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.8 อาทิ จัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาขยะทุกประเภทอย่างเป็นระบบ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แก้ปัญหาภัยแล้ง 6.ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ 604,804 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.4 ให้ระบบการบริหารราชการมีประสิทธิภาพ อาทิ ต่อต้านทุจริต โดยปรับปรุงกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ให้ประชาชนมีส่วนร่วมป้องกันปราบปรามการทุจริต มีรัฐบาลดิจิทัล พัฒนารูปแบบการให้บริการภาครัฐผ่านการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้อย่างคุ้มค่า การปรับปรุง หรือ ยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคพัฒนาประเทศ

ยันใช้ภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ

นายกฯกล่าวต่อว่า แม้งบประมาณรายจ่ายปีนี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่รัฐบาลจะจัดเก็บรายได้มากขึ้นกว่าร้อยละ 11.9 ทำให้จัดสรรงบไปลงทุนได้กว่า 717,722 ล้านบาท และสามารถชดใช้เงินคงคลังและชำระคืนต้นเงินกู้ได้กว่า 118,361 ล้านบาท เตรียมพร้อมให้รัฐบาลมีกรอบลงทุนในระยะกลางและยาวมากขึ้นในปีงบประมาณ 2568 การบริหารงบประมาณทั้งหมดนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะดำเนินนโยบายให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลัง ใช้เงินภาษีประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการเจริญเติบโตประเทศ โดยนายกฯใช้เวลาชี้แจงนาน 1 ชั่วโมง 40 นาที

“ชัยธวัช” ฉะยับไส้ในเลื่อนลอย

จากนั้นนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายชี้ถึงปัญหาของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯหลายจุด โดยเฉพาะมีเนื้อในที่เลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ สะเปะสะปะ ไม่มียุทธศาสตร์ แผนแต่ละกระทรวงไม่มีตัววัดความสำเร็จจากนโยบายได้จริง ไส้ในส่วนใหญ่เป็นโครงการเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ ยัดโครงการประจำกระทรวงเข้ามาเป็นแนวนโยบาย สับสนปนเปแยกไม่ออกตกลงอันไหนรัฐบาลใหม่จะทำ อันไหนเป็นงานประจำที่ทำอยู่แล้วทุกปี ไม่ยึดโยงกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เช่น การแก้หนี้สินภาคเกษตร ภาคธุรกิจ หัวข้ออาจสวยหรูแต่ไส้ในตอบไม่ได้ว่าจะบรรลุเป้าหมายนโยบายอย่างไร เช่น นโยบายเร่งด่วนลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ไม่ตั้งงบชดเชยหนี้ให้ กฟผ. เมื่อ กฟผ.แบกรับภาระหนี้ไม่ไหวจะยุตินโยบายนี้ หรือเอาอย่างไรต่อ ไม่เห็นการตั้งงบทำประชามติรอไว้ กกต.ของบไป 2 พันล้านบาท สุดท้ายได้รับไป 1 พันล้านบาท ส่วนนโยบายเติมเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ตอนแถลงนโยบายนายกฯและรัฐบาลยืนยันจะไม่กู้ แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่าไม่มีการตั้งงบใดๆไว้ ก็ชัดเจนว่ารัฐบาลต้องรอว่าจะสามารถเสนอ พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เข้าสภาฯได้หรือไม่

เปลี่ยนปกมั่วๆคาดการณ์เกินจริง

นายชัยธวัชกล่าวว่า หลายเรื่องหน้าปกดูดี แต่ดูไส้ในแล้วพบโครงการเดิมๆ เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนปกแบบมั่วๆ การทำถนนกลายเป็นงบโครงการพิเศษที่ตอบโจทย์ได้แทบทุกยุทธศาสตร์ มีการคาดการณ์รายได้เกินจริงประมาณ 1 แสนล้านบาท แต่กลับตั้งงบฯรายจ่ายเอาไว้ไม่พอ ส่วนงบที่คาดการณ์ได้ว่าต้องจ่ายเพิ่ม เช่น งบฯชดเชยภาษีรถอีวี ค่าไฟที่ต้องชดเชยหนี้ให้ กฟผ. งบฯซอฟต์พาวเวอร์กว่า 5 พันล้านบาท ก็ไม่เห็นในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ รวมสองก้อนนี้ประมาณการว่าไม่น่าจะน้อยกว่า 1 แสนล้านบาท สุดท้ายต้องปัดเป็นงบกลาง ไปเป็นรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลังในปีถัดๆไป ใช่หรือไม่ ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลชุดที่แล้วก็ทำแบบนี้

รวมการเฉพาะกิจแบ่งกันกิน-ใช้

นายชัยธวัชกล่าวอีกว่า นโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลเคยแถลงไว้ว่าจะสร้างความชอบธรรมด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม วันนี้ไม่แน่ใจแล้วว่ารัฐบาลจะทำจริงๆหรือกำลังทำให้ระบบนิติรัฐนิติธรรมย่ำแย่ลงไปอีก สังคมกำลังถูกตอกย้ำให้อยู่กับกระบวนการยุติธรรมแบบ 2 มาตรฐาน เรือนจำมีไว้สำหรับประชาชนสามัญที่ไม่ได้มีอำนาจบารมีและฐานะเงินทอง เอาจริงแล้วรัฐบาลชุดนี้เป็นเพียงรัฐบาลรวมการเฉพาะกิจ ไม่ได้มีวาระเป้าหมายทางนโยบายที่จะขับเคลื่อนร่วมกัน รวมการเฉพาะกิจเพื่อแบ่งปันอำนาจกัน แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ชั่วคราว เราจึงเห็นการตั้ง ครม. แบบผิดฝาผิดตัว ไม่ได้แบ่งตามวาระเป้าหมาย แต่แบ่งตามโควตาการเมือง วางเจ้ากระทรวงไม่ถูกกับงาน วันนี้จากที่เคยบอกว่าคิดใหญ่ทำเป็น บางทีบางวันกลายเป็นคิดไปทำไป คิดสั้นไม่คิดยาวบ้าง คิดอย่างทำอย่างก็มี รัฐบาลอาจมีวาระร่วมกันจริงๆเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติทางอำนาจของชนชั้นนำ การเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลชุดนี้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่า เป็นการรวมตัวกันเพื่อรักษาสภาวะเดิมของสังคมไทยไว้ ฝืนทวนความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย เพื่อปกป้องพลังทางสังคมแบบจารีต ต่อต้านพลังทางสังคมใหม่ๆที่ต้องการอนาคตที่ดีกว่านี้

“จุรินทร์” ตั้งฉายางบฯ 67 “เป็ดง่อย”

ต่อมานายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า เชื่อว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะผ่านการพิจารณาวาระแรกได้ เพราะรัฐบาลมีเสียง สส.แบบเด็ดขาดถึง 314 เสียง ถ้าไม่ผ่านนายกฯต้องเลิกใส่ถุงเท้าสีแดง พิจารณาตัวเองได้แล้ว งบประมาณฉบับนี้ถือเป็นฉบับแรกของรัฐบาลชุดนี้ เกิดจากการเอางบฯปี 2566 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มารื้อทำใหม่หมด ส่งผลให้ปฏิทินงบปีนี้ล่าช้าไปกว่า 9 เดือน เพราะมัวแต่ใช้เวลาไปตั้งรัฐบาลเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดหลายเดือน ไปบังคับใช้ประมาณเดือน พ.ค. ส่งผลให้ พ.ร.บ.งบฯฉบับนี้เป็นฉบับเป็ดง่อย เงินกว่า 3.48 ล้านล้านบาท มีเวลาใช้เงินแค่ 5 เดือน จาก 12 เดือน มีเวลาใช้เงินจริงๆแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญคืองบลงทุนที่เป็นหัวใจสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจ สุดท้ายจะเป็นงบฯเป็ดง่อย ไม่สามารถนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มร้อยตามที่พูดไว้

แซะรัฐบาล “นักกู้ถุงเท้าสีชมพู”

นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า รัฐบาลชุดนี้มีรัฐมนตรี 34 คน แต่โลกลืมไปแล้ว นายกฯพยายามตีปี๊บว่าเศรษฐกิจกำลังวิกฤติต้องเร่งฟื้นฟูขนาดใหญ่ แต่งบฯที่มีผลต่อจีดีพีถึงร้อยละ 18 กลายเป็นเป็ดง่อย แล้วจะไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตตามเป้าหมายได้อย่างไร ยืนยันว่างบฯที่นายกฯไปสั่งรื้อ ไม่มีอะไรเข้ามาใหม่ มีหลายเรื่องที่แย่กว่ารัฐบาลเดิม แบ่งเป็น 4 ประเด็น คือ 1.ยังเป็นงบฯขาดดุลเหมือนเดิม และจะขาดดุลต่อไปจนครบอายุรัฐบาลนี้คือ 4 ปีเต็ม 2.งบฯลงทุนน้อยลงกว่าเดิม แต่กลับเพิ่มงบฯรายจ่ายประจำแทน คิดเป็น 44เปอร์เซ็นต์ 3.งบฯกลางที่เพิ่มขึ้น เป็นอำนาจนายกฯโดยตรง ก่อนหน้านี้เคยต่อว่ารัฐบาลที่ผ่านมา แต่กลับทำเสียเอง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง 4.เคยบอกว่าเป็นงบประมาณคิดใหญ่ ทำเป็น แต่กลายเป็นคิดกู้ ทำกู้ รัฐบาลชุดที่แล้วทำไว้คือกู้ 5.93 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลนี้นำไปรื้อกลายเป็นกู้เพิ่มขึ้นเป็น 6.93 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นแสนล้านบาท ทั้งที่พวกท่านเคยวิจารณ์รัฐบาลที่แล้วว่าเป็น “นักกู้แห่งแม่น้ำเจ้าพระยา” แต่รัฐบาลนี้กลายเป็น “นักกู้ถุงเท้าสีชมพู”

ฟาด “นายใหญ่” ชั้น 14 ติดคุกทิพย์

“ในส่วนงบประมาณกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ผมสนับสนุนถ้าจะนำเงินไปยกระดับควบคุมผู้ต้องขังให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และหลักสิทธิ มนุษยชน โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ โดยมีสถานที่เป็นเรือนจำ และทัณฑสถาน ครอบคลุมผู้ต้องขัง 2.8 แสนคนทั่วประเทศ ถ้ารัฐบาลดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ผมมีคำถามว่า รัฐบาลในฐานะผู้ใช้งบประมาณได้บริหาร โครงการตามวัตถุประสงค์ โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติต่อ ผู้ต้องขัง 2.8 แสนคนหรือไม่ เพราะมีข้อสงสัยเกิดขึ้น ในสังคมว่า ทำไมรัฐบาลนี้จึงปล่อยให้นักโทษบางคน เข้าคุกทิพย์มาแล้วกว่า 120 วัน ยังไม่เคยติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว” นายจุรินทร์กล่าว

พท.เต้นสวมบทองครักษ์พิทักษ์

ทำให้นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงนายจุรินทร์ว่าอภิปรายนอกประเด็น ไม่คิดว่านายจุรินทร์จะลุกขึ้นอภิปรายงบประมาณ เพราะล้มเหลวมาตลอด อภิปรายไม่ไว้ วางใจครั้งสุดท้ายก็ได้คะแนนน้อยกว่าคนอื่น นี่ก็ลากออกไปนอกประเด็นใช้สไตล์เก่าๆ ไม่เห็นด้วยที่นำเรื่องข้างนอกเข้ามาสู่สภาฯ รู้ว่าคนที่นายจุรินทร์ กำลังพูดถึงคือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูก กลั่นแกล้งไปอยู่เมืองนอก 17 ปี แต่ต้องเข้าใจว่าทุกครั้งที่ขออนุญาต มีใบรับรองจากอธิบดี และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานในที่ ประชุม วินิจฉัยว่าผู้อภิปรายยังอยู่ในประเด็นและขอให้นายจุรินทร์หลีกเลี่ยงไม่ระบุชื่อบุคคลภายนอก แต่ยังคงมีการปะทะคารมกันปละปลายระหว่าง สส.พรรค เพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ จนนายวันมูหะมัดนอร์ วินิจฉัยว่าเป็นการพูดแสดงความคิดเห็น ไม่ผิดข้อบังคับ การประชุมจึงดำเนินต่อ

“ฐากร” ฉายภาพงบฯ 3 ขาด 3 เกิน

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย อภิปรายว่า ขอตั้งฉายางบประมาณฉบับนี้ เป็น 3 ขาด 3 เกิน 1 พอได้ 3 ขาดคือ งบประมาณ 3 กระทรวงหลัก คือ กระทรวงพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข มีแต่งบประจำ งบสาธารณูปโภค มีงบ ลงทุนเพียงเล็กน้อย ส่วน 3 เกิน คือ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม มีแต่งบ ลงทุน โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม มีงบลงทุนสูงถึง 171,941,105,800 บาท คิดเป็น 93.63% ของงบที่ได้รับ เป็นการตั้งงบลงทุนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานมาก ตั้งงบซ้ำซ้อนกันหลายหน่วยงาน หรืองบลงทุนของกระทรวงกลาโหม อะไรที่ชะลอได้ควรชะลอ และ 1 พอได้คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีงบลงทุนกว่า 84,000 ล้านบาท คิดเป็น 71.32% การจัดงบฯ เช่นนี้ จะเกิดความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสของประชาชน ขอให้มีการปรับแก้ไขในชั้นกรรมาธิการต่อไป

“ขิง” ขอหยุดวาทกรรมเผด็จการ–ประชาธิปไตย

ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า งบประมาณฉบับนี้ ตั้งงบขาดดุลเกือบ 7 แสนล้านบาท ถือว่าติดกระดุมถูก เห็นความสำคัญกับงบลงทุน เพื่อไปเติมเต็มขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างรายได้ อย่ามองแค่เฉพาะยอดเงินเท่านั้น รัฐบาลต้องใช้งบลงทุนอย่างมียุทธศาสตร์ ขอให้มี ระบบการรวมศูนย์ใช้งบประมาณ รวมถึงเร่งสานต่อ โครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง หลังผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้แล้ว ต้องเร่งใช้เงินให้ทัน ภายใน 4-5 เดือน ให้ท้องถิ่นนำไปกระจายใช้ ส่วนการ ดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในไทย จะเกิดขึ้น ไม่ได้ถ้าการใช้งบประมาณเกิดการทุจริต ดังนั้นงบประมาณที่นำไปใช้จ่ายต้องถึงประชาชนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าตรวจสอบ ที่สำคัญคือบรรยากาศจะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าใช้เงิน อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความขัดแย้งประชาชน รัฐบาลชุดนี้เราเห็นสัญญาณยุติความขัดแย้ง ผ่านการ เลือกตั้งมา 2 ครั้งแล้ว หวังว่าจะสิ้นสุดวาทกรรมเรื่อง เผด็จการและประชาธิปไตย มั่นใจถ้าร่วมมือกันจะทำได้

ดิจิทัลล่องหน–กระตุ้น เศรษฐกิจทิพย์

จากนั้น น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ใช้เวลา 7 วันเต็ม ช่วงหยุดยาวปีใหม่ อ่านเอกสารงบฯ กว่า หมื่นหน้า 2 ลัง 20 เล่ม เกิดคำถามในใจว่าวิกฤติเศรษฐกิจแบบใด ทำไมงบที่จัดไม่เหมือนวิกฤติอย่าง ที่นายกฯพูด จากรายงานเล่มขาวคาดม่วง เรื่องเศรษฐกิจ และการคลังบอกว่า เศรษฐกิจปี 2566 จะโต 2% ปี 2567 จะโต 3.2% เงินเฟ้อระดับปกติ ขณะที่เอกสาร สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี รับรองว่าเศรษฐกิจไม่วิกฤติแน่นอน เพราะอัตราขยายตัวของจีดีพีโต 5.4% สรุปว่าเป็นการเติบโตของจีดีพีที่ไม่ได้รวมผลเงินเฟ้อ เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังจะบรรลุเป้าหมาย จีดีพีโต 5% ในปีแรกที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินด้วยการโกงสูตรหรือไม่มีประเทศไหนทำ สรุปแล้วเราจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจไปถึงปี 2570 เลยหรือไม่ ทำไมประมาณการว่าเราจะต้องขาดดุล 3.4% ไปเรื่อยๆ ทั้งที่พรรคเพื่อไทยเคยประกาศว่าจะทำงบฯให้สมดุลภายใน 7 ปี แต่ใน 4 ปีแรก กู้ทุกปี ปีละ 3.4% เป็นอย่างต่ำ และงบดิจิทัลวอลเล็ตล่องหน ไม่ปรากฏในร่างฯนี้แม้แต่บาทเดียว ตกลงเรายังเชื่ออะไรได้อีกกับคำพูด ของนายกฯ สรุปยอดกู้เงินต้องเพิ่มเป็น 5.8 แสนล้านบาทแล้วหรือไม่ เพื่อทำตามสัญญา ซึ่งเสี่ยงสูงมากหากไม่สามารถออก พ.ร.บ.เงินกู้ได้ เท่ากับเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจทิพย์

“ลุงตู่” ดาวน์ “เศรษฐา” รับผ่อนต่อ

น.ส.ศิริกัญญากล่าวอีกว่า ยังมีมรดกรัฐบาลชุดที่ผ่านมาที่ไม่ยอมปฏิรูปงบประมาณ ทำให้รัฐบาลจัดสรรงบได้ไม่ถึง 1 ใน 4 เพราะติดเรื่องรายจ่ายบุคลากร ชำระหนี้ 4 หมื่นล้านบาท เงินชดใช้เงินคงคลัง 1.1 แสนล้านบาท งบผูกพัน 3.6 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลก่อนหน้านั้นเป็นผู้ดาวน์ และรัฐบาลนายเศรษฐา ต้องผ่อนต่อ ซอฟต์พาวเวอร์ 5,000 ล้านบาท ไม่พบ การตั้งไว้ คงต้องควักจากงบกลาง รวมถึงค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายที่ไม่ตั้งชดเชยไว้ สงสัยต้องดึงจากงบกลางที่ตั้งไว้ 9.8 หมื่นล้านบาท หาก พิจารณาแล้วเชื่อว่าจะไม่เพียงพอ การตั้งงบขาดไม่มั่นใจว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิดหรือไม่ การประมาณการ รายได้เชื่อว่าจะคาดการณ์ผิดพลาด และจัดเก็บไม่ตรง ตามเป้าหมาย หากรัฐบาลฝากความหวังไว้ที่โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ถือเป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิด

หยันกึ๋นเศรษฐกิจเพื่อไทยมีแค่นี้

น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า เรื่องหนี้สาธารณะก็ต้อง กังวลเรื่องดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายต่อปี เพราะเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ตรงนี้จะต้องเบียดบังงบฯ แต่ละปียังไม่รวมหนี้จากดิจิทัลวอลเล็ตและหนี้ที่ยืมจากรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานรัฐ 1 ล้านล้านบาท โดย รัฐบาลบริหารงานมา 3 เดือน ใช้เต็มเพดานแล้ว สรุปร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่เห็นอะไร นอกจากเป็นบทพิสูจน์ว่ารัฐบาลนี้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพ นี่หรือคือรัฐบาลที่สืบทอดชื่อเสียงกันมาว่า เก่งด้านเศรษฐกิจ นี่หรือรัฐบาลที่ขึ้นชื่อว่าหาเงินได้ใช้เงินเป็น ผิดพลาดในการจัดงบประมาณได้มากขนาดนี้ ตั้งงบไว้ไม่เพียงพอ ประมาณการรายได้ผิดพลาดแบบ ไม่น่าให้อภัย คิดมุ่งแต่จะใช้กลไกนอกงบประมาณ ไม่สนใจภาระทางการคลัง ถึงเวลาที่ประชาชนคงต้อง คิดใหม่กับฝีมือการบริหารราชการของพรรคเพื่อไทย

“จุลพันธ์” ไม่รับสารพัดฉายาที่ตั้ง

ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า การตั้งวาทกรรมต่างๆให้รัฐบาล เรารับฟังแต่ไม่ขอ รับไว้ ยืนยันรัฐบาลชุดนี้ตั้งใจแก้ปัญหาให้ประชาชน ส่วนเรื่องงบประชามติที่ไม่ปรากฏอยู่ในรายละเอียด เนื่องจากไม่สามารถเจาะจงระยะเวลาทำประชามติได้ แต่สุดท้ายเมื่อมีคำสั่งของ ครม.ในการเริ่มกระบวนการ คำขอจะส่งมาที่ ครม. เพื่อจัดสรรงบกลางดำเนินการ รัฐบาลจริงใจจัดทำรัฐธรรมนูญและประชามติ กลไกนี้ เดินหน้าต่อ มีงบประมาณรองรับ ส่วนที่ระบุงบรายจ่าย ฉบับนี้รับมรดกมาจากรัฐบาลที่แล้ว ในส่วนงบผูกพันไม่สามารถปรับลดได้ แต่ยืนยันงบรายจ่ายปี 2567 มีการปรับแก้รายละเอียดที่มีความจำเป็น ให้เหมาะสมกับนโยบายรัฐบาลปัจจุบันมากที่สุด ขณะที่งบกลางที่ เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับที่กฎหมายกำหนด ขณะที่โครงการ ดิจิทัลวอลเล็ตที่ไม่ปรากฏอยู่ในงบฯปี 67 นั้น เนื่องจาก ปรับเปลี่ยนเรื่องแหล่งที่มาของเงิน เพื่อสร้างความโปร่งใส ใช้แหล่งเงินจากภายนอกเข้ามาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงไม่เห็นงบส่วนนี้เพราะเราใช้งบจากการกู้เงิน

“ทวี” โต้เลือกปฏิบัติช่วย “ทักษิณ”

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ชี้แจงกรณีนายจุรินทร์กล่าวถึงระเบียบกรมราชทัณฑ์ที่ส่อช่วยเหลือนักโทษบางคนว่า การแก้ไขระเบียบเรื่องการคุมขังนักโทษในสถานที่อื่นนอกจากเรือนจำ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เกิดขึ้นก่อนมีรัฐบาลชุดนี้ ยืนยันระเบียบดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือนายกฯ การใช้อำนาจตามระเบียบราชทัณฑ์ให้เป็นอำนาจกรรมการราชทัณฑ์ 17 คน มีแค่ 3 คนที่เป็นคนของกระทรวงยุติธรรม คือ รมว.ยุติธรรม ปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตามกฎหมายฉบับนี้ ราชทัณฑ์ไม่ใช่สถานที่ฆ่าหรือทรมานคน ใครเจ็บป่วยต้องรักษา และไม่ใช่อดีตนายกฯทักษิณคนเดียวที่ไปรักษา แต่มีคนจำนวนมากได้รับการรักษา นายทักษิณก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เป็นนักสร้างสันติภาพ หลายคนสงสัยป่วยจริงไหม แม้ไม่เคยไปเยี่ยมแต่แพทย์ยืนยันป่วยจริงมีอาการเยอะ เรื่องอดีตนายกฯทักษิณคนอาจมีความรู้สึกแตกต่างกัน แต่ถ้ายึดกฎหมายเป็นหลัก ในรายงานแพทย์มีแพทย์หลายคนยืนยันว่าป่วย มีหลายหน่วยงานตรวจสอบ ยืนยันไม่ทำอะไรนอกกฎหมาย

7 ม.ค.นายกฯยังไม่นอนทำเนียบฯ

วันเดียวกัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์หลังแชร์ภาพห้องนอนบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ว่าตอนนี้มีความพร้อมแต่ต้องเป็นไปตามฤกษ์ อย่างที่พูดไปแล้ววันแรกคือวันที่ 7 ม.ค. แต่น่าจะไม่ได้เพราะช่วงนี้มีภารกิจหลายอย่าง

มั่นใจ 1 มี.ค. ไทย–จีนฟรีวีซ่าฉลุย

นายเศรษฐายังกล่าวถึงกรณี รมว.ต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีนยังไม่ยืนยันเห็นชอบยกเว้นการตรวจตรา (วีซ่าฟรี) แก่นักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวจีนว่า เราพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วและนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯและ รมว.ต่างประเทศ จะบินไปลงนามเอ็มโอยู ขอให้มั่นใจว่าวันที่ 1 มี.ค.จะยกเว้นวีซ่าถาวรของทั้ง 2 ประเทศ ความจริงเราทำงานกันมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ หากผู้สื่อข่าวติดตามมีการพูดกันตลอดว่าจะยกระดับพาสปอร์ตไทยมาต่อเนื่อง แสดงว่าพรรคเพื่อไทยเราไม่หยุดในสิ่งที่เราทำค้างไว้ และเป็นสิ่งที่ดีๆจะทำต่อ มั่นใจเรื่องนี้เป็นเครื่องมือสำคัญขับเคลื่อนความสัมพันธ์ สนับสนุนการท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศ

“หมอมิ้ง” โวพลิกประเทศเหมือนปี 44

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หลังคณะกรรมการกฤษฎีกาส่งความเห็นกลับมายังรัฐบาลว่า ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นข้อแนะนำ ทั้งหมดเราดูถูกต้องอยู่แล้ว แต่กฤษฎีกาอาจแนะนำมาว่ามีข้อระมัดระวังเรื่องไหนจะทำให้กฎหมายสมบูรณ์มากขึ้น เรายังยืนยันเป้าหมายเดิมที่จะให้โครงการออกมาในเดือน พ.ค. เมื่อถามว่า เป้าจีดีพีที่สำนักงบประมาณทำไว้ในร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 2567 ที่จะโตขึ้น 2.7-3.7 รวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไปหรือยัง นพ.พรหมินทร์ตอบว่ายัง อันนี้คาดการณ์ประมาณหนึ่ง อยากให้ดูตัวเลขจริงๆ ความจริงเราทำมากกว่านั้น เคยพิสูจน์มาแล้วเมื่อปี 44 เมื่อถามย้ำว่า มั่นใจหรือไม่ว่าในปี 67 จะทำให้ประชาชนร้องว้าว นพ.พรหมินทร์ตอบว่า มั่นใจ 4 ปีจะเห็นชัด ไม่ต้องให้ประชาชนร้องว้าว เพียงแต่ทำแล้วภูมิใจว่า ได้สร้างฟื้นคืนความสุขให้กับประชาชน

โวยกุข่าวดึง “อุ๊งอิ๊ง” ร่วม ครม.

นพ.พรหมินทร์ยังกล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี ครม.ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เข้ามาร่วม ครม.ว่า เป็นการคาดหวังหรือหาประเด็นที่จะมาตี เพราะตีเรื่องนโยบายไม่ได้เลยมาสร้างประเด็นให้สับสน มีที่ไหน ครม.เรายังทำงานได้ดี ผลักดันงานต่างๆออกมาจำนวนมาก วันนี้ น.ส.แพทองธารมาช่วยในฐานะรองประธานด้านซอฟต์พาวเวอร์ และการพัฒนา 30 บาทรักษาทุกโรค เมื่อถามว่ายังไม่จำเป็นต้องปรับ ครม.ในตอนนี้ใช่หรือไม่ นพ.พรหมินทร์ตอบว่า หากถามวันนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปรับ ครม. เมื่อถามอีกว่า ในฐานะเป็นผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย มองว่า น.ส.แพทองธารเหมาะเป็นรัฐมนตรีแล้วหรือยัง นพ.พรหมินทร์ตอบว่า ยังไม่มีความจำเป็นใดๆ น.ส.แพทองธารเป็นหัวหน้าพรรคสามารถสร้างบทบาทช่วยในเชิงการบริหารงานของรัฐบาลได้อย่างเหมาะสม คนที่อยู่ในตำแหน่งก็ว่ากันไป เมื่อถามถึงตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่างอยู่ 2 ตำแหน่งจะเติมให้เต็มก่อนหรือไม่ นพ.พรหมินทร์ตอบว่า ไม่เป็นไร ยังสามารถทำงานกันได้

“ชัยชนะ” ขู่ “ปู” กลับ รัฐบาลอายุสั้น

นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีจะนำคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ ไปตรวจสอบอาการป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก ที่ รพ. ตำรวจ ว่า กมธ.ฯจะเดินทางไปตามกำหนดการเดิมในวันที่ 12 ม.ค. ขณะนี้รอหนังสือตอบกลับจากกรมราชทัณฑ์ และ รพ.ตำรวจ หาก 2 หน่วยงานไม่ตอบรับต้องชี้แจงเหตุผลให้ประชาชนทราบว่าทำไม ส่วนกรณีกระแสข่าวที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะกลับประเทศไทยนั้นจะเป็นชนวนให้เห็นว่าสังคมมี 2 มาตรฐาน เป็นชนวนให้ก่อม็อบลงถนนได้ และจะเป็นชนวนเหตุทำให้อายุรัฐบาลสั้นลง

ดึง “มดดำ-วู้ดดี้” ดัน กฎหมายชาวสีรุ้ง

อีกเรื่องที่รัฐสภา นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย รองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม แถลงว่าที่ประชุมมีมติให้นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน กมธ. กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายประวัติศาสตร์ เป็นก้าวแรกที่ทุกคนจะได้ใช้กฎหมายให้เกิดความเสมอภาคทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ ในที่ประชุมไม่มีความขัดแย้งและจะทำให้กฎหมายผ่านโดยเร็วบนความรอบคอบ อยากให้ออกมาใช้ได้จริงภายในปีนี้ ส่วนการประชุมวันที่ 10 ม.ค. จะแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา กมธ. มีดาราศิลปินเข้าร่วม เช่น “มดดำ” คชาภา ตันเจริญ และ “วู้ดดี้” วุฒิธร มิลินทจินดา มาเป็นที่ปรึกษา เพราะเสียง สส.กับประชาชนอาจไม่ดังเท่าเสียงบุคคลมีชื่อเสียง ที่เป็นตัวแทน LGBTQ+

ขอโอน “รอย” นั่งเลขา สมช.

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ กล่าวถึงการขอรับโอน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. มาให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช.ว่า เป็นไปตามกระบวนการ เนื่องจากเป็นการย้ายหน่วยงาน ทำในนามนายกฯ ในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อขอทาบทามการทำหนังสือนี้ต้องทำแจ้งไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อให้ ตร.พิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่

จากนั้นพล.ต.อ.รอยต้องตอบว่า เจ้าตัวยินยอมหรือไม่ และหน่วยงานยินยอมหรือไม่ ขั้นตอนต่อไปจึงจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม สมช. แล้วนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จะมีการนำเรื่องการโอนย้าย พล.ต.อ.รอยเข้าสู่การพิจารณาของ สมช.และที่ประชุม ครม.ในวันที่ 9 ม.ค. หาก พล.ต.อ.รอยถูกโยกมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. จะทำให้ตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ว่างลง 1 ตำแหน่ง ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ จะพิจารณาเรียงตามลำดับอาวุโส ได้แก่ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.นรต.รุ่น 39 เกษียณอายุราชการปี 2568 คาดว่าจะดำเนินการแต่งตั้งในวาระเดือน เม.ย.

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่