รรท.อธิบดีกรมคุก แจงยิบแนวทางปฏิบัติผู้ต้องขังจำคุกนอกเรือนจำ ย้ำมีคณะทำงานจะเป็นผู้พิจารณา และเป็นอำนาจอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ส่วนกรณี "ทักษิณ ชินวัตร" ไม่ได้เป็นข้อจำกัด เป็นเรื่องที่กรมราชทัณฑ์จะต้องดำเนินการอยู่แล้ว
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงระเบียบแนวทางปฏิบัติคุณสมบัติผู้ต้องขังผ่านเกณฑ์จำคุกนอกเรือนจำ ว่า จากกรณีที่ตัวกฎหมายได้กำหนดชัดเจนให้กรมราชทัณฑ์จะต้องไปออกระเบียบ แนวทางการปฏิบัติ และกำหนดคุณสมบัติของผู้ต้องขัง จึงหมายความว่า ผู้ต้องขังที่จะผ่านเกณฑ์ได้รับสิทธิประโยชน์จากระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 นั้น จะเป็นผู้ต้องขังที่มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง จากรายคดีใด คดีใดได้รับการยกเว้นหรือไม่ หรือต้องรับโทษจำคุกมานานเท่าไรแล้ว และหากต้องไปคุมขังที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร มีกิจกรรมประจำวันเช่นอะไรบ้าง รวมถึงจะต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ต่อผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบสถานที่คุมขัง และบทบาทในการรับผิดชอบ ต้องควบคุมอย่างไร ดูแลผู้ต้องขังอย่างไรไม่ให้มีความเสี่ยงกระทำความผิดซ้ำ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องควบคุมดูแลผู้ต้องขังอย่างไร ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดที่เหลือนี้ เราจะต้องไปยกร่างออกเป็นระเบียบอีก 1 ฉบับ เพื่อส่งต่อไปยังเรือนจำ ทัณฑสถานทุกแห่งทั่วประเทศในการคัดกรองผู้ต้องขังที่มีคุณสมบัติตามที่ระเบียบกำหนดไว้ และเสนอต่อคณะทำงาน (คณะทำงานพิจารณาการคุมขังในสถานที่คุมขัง) ตามระเบียบเพื่อคัดครองพิจารณาอีกชั้น
ส่วนสิ่งสำคัญอีกประการที่กรมราชทัณฑ์จะต้องดำเนินการ คือ ระยะเวลาปลอดภัย เช่น ผู้ต้องขังรายดังกล่าวจะต้องจำคุกมาแล้วเท่าไร บางประเทศอาจกำหนดให้รับโทษจำคุกมาแล้ว 1 ใน 4 หรือบางประเทศอาจ 1 ใน 3 เป็นต้น ซึ่งเราก็จะต้องทำเรื่องนี้เช่นกัน เพราะในงานวิจัยได้ระบุว่าการที่ผู้ต้องขังใดได้รับโทษจำคุกมาสักระยะหนึ่งแล้ว มักจะไม่มีปัญหาต่อพฤติกรรมหรือมีความเสี่ยง จึงสรุปได้ว่าแม้จะมีการบังคับใช้ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำทันที แต่ก็ยังต้องรอระเบียบอีกฉบับที่ตนได้เรียนไปข้างตนก่อน เพราะระเบียบคุมขังนอกเรือนจำนั้น รูปธรรมในการนำไปปฏิบัติยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ ส่วนระยะเวลาที่คาดการณ์กันไว้ว่าอยากให้ระเบียบแนวทางการปฏิบัติ การกำหนดคุณสมบัติผู้ต้องขังแล้วเสร็จก็คือภายในเดือน ธ.ค.นี้ แต่จะบังคับใช้ได้จริง คาดว่าจะอยู่ในช่วงปี 2567
...
นายสหการณ์ เผยอีกว่า นอกจากนี้ เรายังต้องพิจารณาถึงการติดกำไล EM สำหรับผู้ต้องขังที่ได้รับสิทธิคุมขังนอกเรือนจำ ว่าจะมีผู้ต้องขังรายใดบ้างที่ต้องใช้กำไล และยังต้องกำหนดอาณาเขตพื้นที่บริเวณว่ากี่กิโลเมตรจึงจะมีความปลอดภัย และอาจต้องเพิ่มในส่วนของกล้องวงจรปิดที่จะเชื่อมกับกรมราชทัณฑ์ เพื่อการจับตาสอดส่องดูแล เพราะเราให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยภายในสังคมเป็นอันดับสูงสุด รองลงมาคือเรื่องของสิทธิมนุษยชนที่จะต้องควบคู่ไปด้วยกัน

ส่วนคดีของผู้ต้องขังที่อาจมีการพิจารณายกเว้นไม่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากระเบียบคุมขังภายนอกเรือนจำ อาทิ คดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรง คดีค้ามนุษย์ คดีที่เกี่ยวกับชีวิตร่างกายและทรัพย์สิน คดีทางเพศ (ฆ่าข่มขืน) คดียาเสพติด และคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเป็นภัยร้ายแรงของประเทศ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคดีทุจริตคอร์รัปชัน เรายังไม่ได้มีการลงลึกในรายละเอียด จะต้องมีการไปหารืออีกครั้ง
"มองว่าการออกระเบียบแนวทางปฏิบัติมันสามารถยืดหยุ่นได้ เพราะเราต้องคำนึงถึงความเหมาะสม เช่น ในคดียาเสพติด จากเดิมที่มีการลงโทษที่เข้มข้นมากแต่พอในปี 2564 มีการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ความเข้มข้นในส่วนของโทษก็ลดลง เราจึงต้องใช้ความยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องไปกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป" รรท.อธิบดีราชทัณฑ์ กล่าว
นายสหการณ์ เผยต่อว่า สำหรับระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ ตนยืนยันว่าขั้นตอนจะเริ่มต้นจากทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เท่านั้น ผู้ต้องขังไม่มีสิทธิในการยื่นขอเข้าพิจารณาว่าจะเข้าเกณฑ์หรือไม่ เพราะคณะทำงานจะเป็นผู้พิจารณาเองทั้งหมด และการพิจารณาจะเกิดจากการดูภาพรวมทั้งหมดแล้ว อาทิ พฤติกรรมระหว่างการต้องโทษ ความเสี่ยงการกระทำความผิดซ้ำ ความพร้อมของสถานที่คุมขัง เป็นต้น และขั้นตอนการพิจารณาจะจบที่ชั้นของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไม่ต้องเสนอเรื่องขึ้นไปยังปลัดกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้อำนาจของอธิบดีสามารถดำเนินการได้ จะไม่เหมือนกับขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษ การขอลดวันต้องโทษ หรือการขอพักการลงโทษที่ต้องเสนอเรื่องไปยังชั้นกระทรวง ในบรรดาทั้งหมดทั้งมวล ตนพร้อมรับฟังความเห็นที่หลากหลายภายในสังคม
"สิ่งสำคัญ คืออยากให้ข้อมูลกับสังคม และเรียนรู้ไปด้วยกันว่าระเบียบนี้ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องแล้ว แต่การประกาศใช้นั้นมีความล่าช้าไปกว่ากรอบกฎหมายที่ได้กำหนดไว้จากกฎหมายหลัก คือ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ซึ่งจริงๆ ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำนี้จะต้องแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2561 แต่ที่ผ่านมาอาจติดขัดในหลายประการ อีกทั้งกรณีของอดีตนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณ ชินวัตร จะไม่ได้เป็นข้อจำกัดให้กรมราชทัณฑ์จะต้องหยุดดำเนินการออกระเบียบ หรือต้องออกระเบียบบังคับใช้แต่อย่างใด เป็นเรื่องที่กรมราชทัณฑ์จะต้องดำเนินการอยู่แล้ว และตนไม่มีใครมาคอยสั่งการ ยืนยันพร้อมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ควบคู่ไปกับการบริหารโทษที่เป็นหลักตามสากล เราคำนึงถึงผู้ต้องขังทุกรายที่ควรได้รับสิทธิในการคุมขังนอกเรือนจำ" รรท.อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าว.