วันที่ 9 ธันวาคมนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด จะพิสูจน์อีกครั้งว่ายังเป็น “สถาบันการเมือง” ของระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่ หลังจากที่ล้มเหลวมาแล้วในการเลือกหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคติดต่อกันมาถึง 2 ครั้ง
เหตุที่การเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคล้มเหลว เพราะความขัดแย้งภายในพรรค แบ่งแยกเป็นกลุ่มผู้อาวุโสที่มีนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำ และกลุ่ม สส. ที่มีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรคเป็นผู้นำ เป็นกลุ่มที่คุมเสียงเลือกตั้งข้างมาก กลุ่มที่กลัวแพ้จึงล้มการประชุม
ก่อนการเลือกคณะกรรมการพรรคครั้งที่ 3 ในวันที่ 9 ธันวาคม มีระดับแกนนำของพรรคออกมาเสนอแนะ เพื่อผ่าทางตันต่างๆหลากหลาย นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต สส. และรัฐมนตรีหลายสมัย เสนอแนะว่าคณะกรรมการพรรคชุดใหม่ ควรเป็นคนรุ่นใหม่ทั้งหมด ห้ามคนรุ่นเก่าที่เคยเป็นรัฐมนตรี
แกนนำพรรคอีกคนหนึ่ง คือ นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา ผู้รักษาการรองหัวหน้าพรรค ซึ่งอาจเป็นผู้ชิงหัวหน้าพรรคอีกคน เสนอแนะว่าผู้นำพรรคคนใหม่ต้องเป็นผู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลง เพราะโลกเปลี่ยนไปเยอะ วิธีคิดของประชาชนก็เปลี่ยน ผู้นำพรรคควรเปลี่ยนแบบ 360 องศา ต้องเป็นคนที่มีแนวคิดใหม่ๆ
พรรคประชาธิปัตย์เกิดขึ้น ในช่วงที่มีแนวอุดมการณ์การเมืองต่างต่าง หลากหลาย ระหว่างปี 2489 ถึง 2490 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีทั้งอุดมการณ์เสรีนิยม สังคมนิยม และอำนาจนิยม พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรค “อนุรักษ์นิยม” มาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ได้มีแนว ความคิดหวือหวา เพียงแต่ยึดมั่นประชา ธิปไตยต่อต้านเผด็จการ
ขณะนี้ต้องถือว่าเป็นยุคของการแข่งขันระหว่างแนวคิดการเมืองที่แตกต่าง มีทั้งอนุรักษ์นิยม เสรีนิยม และอำนาจนิยม ถ้าพรรคประชาธิปัตย์จะเปลี่ยนแปลงแบบ 360 องศา อาจต้องเปลี่ยนจากอนุรักษ์นิยม เป็นเสรีนิยมก้าวหน้าเพื่อแข่งขันกับพรรคการเมืองใหม่ๆ เช่น พรรคก้าวไกล ผู้ชนะเลือกตั้งครั้งล่าสุด
...
มีคนรุ่นใหม่หลายคนที่เสนอตนเป็นผู้นำพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่มีทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ในขณะที่คนรุ่นก่อนอาจจะถอดใจ เช่นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคและอดีตนายกรัฐมนตรี จึงหวังว่านักการเมืองรุ่นใหม่ที่เสนอตัวเป็นผู้นำใหม่ จะเป็นผู้มีอุดมการณ์การเมืองที่ก้าวหน้าไม่ใช่คนรุ่นใหม่แต่แนวคิดล้าหลัง.
คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม