ฝากถึงผู้มีอำนาจขอให้คำนึงถึงประชาชน ซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากคดีการเมืองนักวิชาการสายปรองดอง รศ.ดร.ภูมิ มูลศิลป์ คณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ส่งสัญญาณถึงรัฐบาลเดินหน้านิรโทษกรรม
โดยโครงสร้างกฎหมายควรกำหนดกรอบเวลาย้อนไปถึงช่วงใดจนถึงช่วงใด คดีที่สามารถนิรโทษกรรมได้ กำหนดประเภทคดีชัดเจนก็สะดวกเข้าสู่กระบวนการได้เลย แต่ถ้ากำหนดประเภทคดีกว้างๆ อาจมีกลไกผ่านคณะกรรมการขึ้นมาทำหน้าที่กลั่นกรอง
บางฉบับจะเห็นว่ามีบัญชีแนบท้ายประเภทความผิดที่ได้รับนิรโทษกรรม บางฉบับกำหนดให้ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมากลั่นกรองก่อน บางฉบับก็กำหนดลักษณะคดี และตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองควบคู่กันไป
ต่อมาอาจกำหนดไว้ชัดเจนคดีไหนที่ไม่ให้นิรโทษกรรม ตรงนี้คงเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม อาทิ คดีทุจริตคอร์รัปชัน คดีละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง อย่างทำให้เสียชีวิตเกิดขึ้น คดีที่ขัดต่อหลักการชุมนุม อย่างพกพาอาวุธร้ายแรงเข้าไปในที่สาธารณะ
รวมถึงคดี 112 ควรได้รับนิรโทษกรรมหรือไม่

ขณะเดียวกันยังมีรายละเอียดปลีกย่อยในแต่ละฉบับ อาทิ บุคคลใดได้รับยกเว้นความผิดบ้าง อย่างเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติตามคำสั่ง ผู้ที่ไม่ได้เป็นแกนนำของการชุมนุม
...
พูดง่ายๆอาจทำเป็น 2 ขยัก กลุ่มแรกเป็นประชาชนทั่วไป เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นผู้ปฏิบัติงาน ขยักที่ 2 มีเงื่อนไขพิเศษสำหรับแกนนำ คนที่มีอำนาจในการสั่งการที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน
หากมีคณะกรรมการทำหน้าที่กลั่นกรองนิรโทษกรรม ควรเป็นใครบ้างที่ทุกฝ่ายยอมรับ ซึ่งต้องมีกรอบเวลาทำงาน และมีการต่อเวลาทำงานให้คณะกรรมการฯ ชุดนี้ได้หรือไม่
ทางออกของประเทศควรเป็นเส้นทางใด เพราะขณะนี้รัฐบาลสลายขั้วยังไม่ขยับเรื่องนี้ มีเพียงพรรคก้าวไกล และภาคประชาชนที่ขยับ แต่ยังติดติ่งสำคัญคดี 112 รศ.ดร.ภูมิ บอกว่า รัฐธรรมนูญ 60 กำหนดถึงกระบวนการปรองดองสมานฉันท์เอาไว้
“เบื้องต้นอยากให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองได้มองสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งมาโดยตลอด ทางออกแรกต้องมีกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ หากไม่ทำคงวนเวียนอยู่ในความขัดแย้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีปัจจัยที่ทำให้ประชาชนเกิดคำถาม เช่น บุคคลที่เดินทางกลับเข้ามา ตอนนี้เงียบไป ประชาชนจับตามองว่าได้รับประโยชน์ หรืออภิสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรมหรือไม่
ถ้าได้รับประโยชน์ ตอนนี้เริ่มมีกระแสข่าวได้รับกระบวนการอภัยโทษเพิ่มเติมหรือไม่ ตรงนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนที่มีคดีการเมืองกว่า 10 ปี คิดว่าควรได้รับสิทธิช่วยเหลือตรงนี้ด้วย”
ทางออกที่สองมองกระแสสังคมที่เกิดขึ้น เชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วคงมีกระบวนการที่เกิดขึ้น โดยต้องคุยนอกรอบให้ตกผลึกก่อน อาทิ คดีประเภทใดบ้าง ออกเป็นพระราชกำหนด หรือเป็นพระราชบัญญัติ
ถ้าจับท่าทีของนายสมชาย แสวงการ สว. ระบุว่า ถ้าไม่มีคดีทุจริตคอร์รัปชัน คดีละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง คดี 112 ออกเป็นพระราชกำหนดก็ไม่น่าจะมีใครคัดค้าน
ประกอบกับเหตุการณ์ในปี 56 เดิมค่อนข้างตกผลึกไม่เอาคดี 3 กลุ่มนี้ แต่พอมีเหตุการณ์นิรโทษกรรมสุดซอย จึงเป็นที่มาของการชุมนุมใหญ่
แต่ควรคำนึงถึงบริบทคดี 112 ที่เพิ่มเข้ามา หลังจากปี 57 เหตุการณ์การเมืองมันเปลี่ยน ผู้ที่เสนอกฎหมายแบ่งเป็น 2 กลุ่ม มีทั้งควรรวมคดี 112 และคัดค้าน

หากไปดูข้อเสนอของคณะกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ชุดที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธาน
เสนอนิรโทษกรรมคดีที่สังคมยอมรับก่อน
ผู้เข้าร่วมชุมนุมเข้าข่ายได้รับนิรโทษ กรรมหมด ยกเว้นคดีทุจริตคอร์รัปชัน คดีละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง ที่เหลือคือคดี 112 และคดีระดับแกนนำชุมนุม ที่ต้องถกนอกรอบก่อนเสนอกฎหมายที่ทุกฝ่ายยอมรับ รศ.ดร.ภูมิ บอกว่า ใช่ ต้องถกนอกรอบอย่างจริงจัง
โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง
“ขณะนี้บางฝ่ายมองเหมือนเป็นเกมสร้างคะแนนนิยมให้กับพรรคการเมืองหรือไม่ ความจริงประโยชน์สูงสุดต้องตกแก่ประชาชนที่ต้องคดี
แต่ภาคประชาชนก็ควรได้เรียนรู้ ตามที่กระบวนการปรองดองคุยกันว่า 1.ให้เขารับรู้สิ่งที่เขาทำมันถักทอ นำไปสู่ความรุนแรง
2.สิ่งที่ต้องระวัง อาจสร้างพฤติกรรมต่อไปชุมนุมเต็มที่ไปเลย หรือเจ้าหน้าที่ก็ใช้กำลังเต็มที่ไปเลย สุดท้ายมาเรียกร้องนิรโทษ กรรม ทำให้ความผิดนั้นมันหายไป
กรณีคดี 112 ในเมื่อเป็นสถาบันหลักที่เป็นหัวใจของชาติ หลายท่านกังวลว่า สมมตินิรโทษกรรมไปก่อน แล้วกระทำผิดซ้ำก็มาเรียกร้องขออีก ทำให้เกิดพฤติกรรมนี้อีก ชนิดทำเต็มที่ให้มีความรุนแรง
เช่นเดียวกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ในหลายประเทศกังวลว่า หากนิรโทษกรรม จะเกิดวาทกรรมใช้กำลังไป เดี๋ยวนิรโทษกรรมเอง”
การให้บทเรียนแก่เจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ หรือประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อป้องกันกระทำความผิดซ้ำ รศ.ดร.ภูมิ บอกว่า ใช่ ที่ผ่านมาเราออกกฎหมายนิรโทษกรรมกว่า 20 ครั้งแล้ว
อยากถามสังคมว่าใครทราบตัวเลขนี้บ้าง มีใครได้รับรู้บ้าง เคยมีกระบวนการใดเกิดขึ้นก่อนนำไปสู่การนิรโทษกรรม การเรียนรู้ของสังคมเป็นสิ่งสำคัญ หลายประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาจัดงานรำลึกทุกปี บางประเทศจัดทำพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้เกิดสำนึกของสังคมว่าความรุนแรงนำไปสู่อะไร ผลที่เกิดขึ้นเป็นเช่นไร
สิ่งนี้ไม่ได้ห้ามประชาชนเรียกร้องทางการเมือง เป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายอื่น แต่มันมีกฎหมายอื่นกำกับอยู่ด้วย ฉะนั้นการเรียกร้องที่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นนำไปสู่จุดจบอย่างไร อันนี้คือสิ่งสำคัญมากกว่า เป็นตัวคอยเตือนสติสังคม
นิรโทษกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นถูกมองว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้รับอานิสงส์ด้วย จะเป็นชนวนให้นิรโทษกรรมภาพรวมไม่ถึงฝั่งฝัน รศ.ดร.ภูมิ บอกว่า แน่นอน สมมติพูดถึง...

...“ทักษิณ-ธนาธร” คงใช้คำว่าสุดซอยอีกครั้งหนึ่งปี 56 สุดซอยเกิดขึ้น ผลเป็นอย่างไร หากมีกรณีสุดซอยเกิดขึ้น อาจสร้างความชอบธรรมนำไปสู่ชนวนการชุมนุมอีกครั้งหรือไม่
ฉะนั้นตราบใดที่รัฐบาลยังไม่ตกผลึก คงยังไม่กล้าขับเคลื่อนกฎหมายนิรโทษกรรม อาจรอดูจังหวะที่เหมาะสม หรือกระแสของสังคมยอมรับได้ในจุดใดถึงขับเคลื่อน
สมมติทำเป็นขยักได้ตามกระบวนการปรองดองที่เคยเสนอไว้แบบมีเงื่อนไข เช่น ต้องแสดงความสำนึกผิด สัญญาไม่เข้าไปมีส่วนทำให้เกิดความรุนแรงอีก เพื่อทำให้สังคมสบายใจ ยกเว้นคดี 3 กลุ่ม
รัฐบาลควรตัดสินใจรีบทำให้เป็นของขวัญปีใหม่
มีความเป็นห่วงจุดใดเป็นพิเศษที่เป็นปัจจัยทำให้นิรโทษกรรมไม่สำเร็จ รศ.ดร.ภูมิ บอกว่า ต้องสื่อสารกับสังคมให้ชัดเจน เงื่อนไขของคดีพยายามสร้างความตกผลึกร่วมกัน อย่าไปแบบต้องเอาให้ได้
อาศัยความอดทน สร้างความเชื่อมั่นผ่านกระบวนการพูดคุยจากการสื่อสาร อาจเจอบางฝ่ายเห็นต่างพูดด้วยถ้อยคำรุนแรง หรือตั้งแง่ต้องอดทน สื่อสารกันไป
สุดท้ายต้องระวังอย่าให้นิรโทษกรรมครั้งนี้ เป็นเพียงนิรโทษกรรมอีกครั้งหนึ่งของสังคม แต่ทำอย่างไรให้สังคมได้เกิดการเรียนรู้ สิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศ ตัวของเราเองอาจเป็นหนึ่งเงื่อนไขทำให้เกิดรัฐประหารโดยไม่รู้ตัว
ขัดแย้งทางการเมือง ชุมนุม เกิดความรุนแรง
เกิดวงจรอุบาทว์ซ้ำแล้วซ้ำอีก คือรัฐประหาร.
ทีมการเมือง