“อาจารย์อุ๋ย ปชป.” ชี้ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 คดีทุจริต และคดีเกี่ยวกับการก่อความไม่สงบในบ้านเมือง ไม่ใช่คดีการเมือง หากปล่อยให้นิรโทษกรรม จะเกิดกลียุค เพราะไม่มีใครเคารพกฎหมาย
วันที่ 1 ธ.ค. 2566 จากกรณีที่พรรคก้าวไกล กำลังเดินสายขอเสียงสนับสนุนร่างกฎหมายนิรโทษกรรม จากหลายฝ่ายในสังคม นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส.กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ มองว่า การนิรโทษกรรม (amnesty) หมายถึง การลบล้างการกระทำความผิดอาญาที่ผู้กระทำได้กระทำมาแล้ว โดยมีกฎหมายที่ออกมาภายหลังการกระทำผิด กำหนดให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด และให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิด
หากพรรคก้าวไกล จะผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ตนเห็นว่าจะต้องไม่นิรโทษกรรมความผิดที่เกี่ยวข้องกับ มาตรา 112 เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหนึ่งในสามเสาหลักของประเทศไทย อันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกับที่ สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส ยึดมั่นในเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ดังนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์ จึงจำต้องมีเกราะคุ้มกันภัยคุกคามซึ่งก็คือ มาตรา 112 นั่นเอง เพราะความมั่นคงปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ก็คือ ความมั่นคงปลอดภัยของชาติ หากปล่อยให้มีการนิรโทษกรรมความผิดตาม มาตรา 112 โดยอ้างว่า เป็นเรื่องการเมืองก็จะทำให้ไม่มีใครเคารพกฎหมายนี้อีกต่อไป และจะเกิดการจาบจ้วงมากมายโดยอ้างว่า เป็นเรื่องการเมือง และจะได้รับการนิรโทษกรรมในภายหลัง ซึ่งจะบั่นทอนความมั่นคงของประเทศในที่สุด
นอกจากนี้ ความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและก่อความไม่สงบในบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ ทำร้ายร่างกายพลเรือนและเจ้าหน้าที่ หรือการทำลายทรัพย์สินในช่วงการชุมนุม ก็ไม่สมควรได้รับการนิรโทษกรรมเช่นเดียวกัน เพราะเป็นการกระทำที่เป็นความผิดหรือเป็นความชั่วร้ายในตัวเอง เป็นความผิดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน (mala in se) หากปล่อยให้มีการนิรโทษกรรม ก็จะทำให้กฎหมายขาดความศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนไม่เคารพกฎหมายอีกต่อไป เกิดการกระทำผิดร้ายแรงขึ้นทั่วไปหมด โดยอ้างว่าเป็นเรื่องการเมือง และจะได้รับการนิรโทษกรรมในภายหลัง ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะรัฐล้มเหลว (failed state) และอนาธิปไตย (anarchy) ในที่สุด
...
สุดท้ายนี้ตนอยากฝากถึงพรรคก้าวไกล ว่า ตนไม่ได้คัดค้านการปรองดอง (Reconciliation) แต่ต้องเป็นการปรองดองที่ทำให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง ผู้คนทำมาหากินได้อย่างปกติสุข และสุจริตชนได้รับความคุ้มครองด้วยกฎหมาย ปกครองบ้านเมืองด้วยหลักนิติรัฐและนิติธรรม (Rule of Law) ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพภายใต้ขอบเขตที่ไม่ล่วงล้ำสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น ผู้คนมีโอกาสทำมาหากินและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ด้วยความสามารถของตนเอง จึงจะเป็นเป้าหมายของการปรองดองที่แท้จริง