“รังสิมันต์ โรม” เสนอกระดุม 5 เม็ด ปฏิรูปตำรวจ-กำจัดระบบตั๋ว หวังได้เห็นเจตจำนงของรัฐบาล แก้ปัญหาอย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้เป็นเหมือนที่ผ่านมา จี้ “เศรษฐา” รับผิดชอบคำพูด 

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวที่อาคารรัฐสภา ในประเด็น หยุดระบบตั๋วและปฏิรูปตำรวจไทย ว่า ปัญหาตั๋วในวงการตำรวจเป็นเรื่องที่อยู่คู่สังคมไทยมานาน และเป็นเรื่องที่พรรคก้าวไกลติดตามอย่างใกล้ชิด จนถึงวันนี้พรรคยืนยันว่าองค์กรตำรวจต้องได้รับการแก้ปัญหาอย่างจริงใจจากรัฐบาล เพราะปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้ จะแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติงานได้อย่างเต็มความสามารถ ตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้มีอิทธิพล ไม่ต้องสร้างคอนเนกชันทางการเมืองเพื่อหวังได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ต้องหาเงินจากส่วยและธุรกิจสีเทามาเลี้ยงดูครอบครัว ต้องมีการปฏิรูปองค์กรตำรวจ เพราะหากไม่ลงมือทำอะไร ประเทศเราจะไม่สามารถหลุดพ้นจากปัญหาเดิมๆ ที่อยู่มานานกว่าชั่วอายุคนได้ 

สำหรับปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่กระทบต่อองค์กรตำรวจในหลายมิติ คือเรื่องระบบตั๋ว ที่ตนเคยอภิปรายมาแล้วหลายครั้ง เช่น ตั๋วช้าง ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการขอรับการสนับสนุนจากผู้ที่ไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หรือการทุจริตในกองบินตำรวจ ที่จนถึงวันนี้ก็ยังรอคอยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ว่าเมื่อไหร่จะสะสาง หรือแก้ปัญหา อย่างหลักสูตร กอส. ที่เปิดช่องให้มีการเติบโตในวงการตำรวจอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้คนที่มีความเกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมอย่างเว็บพนันและคอลเซ็นเตอร์ใช้เส้นสายเข้ามาในหลักสูตรนี้

อีกทั้งยังมีการสั่งโยกย้ายตำรวจน้ำดีที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมาไปยังพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่ไม่รู้จัก เช่น พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ในขณะที่กำลังจัดการขบวนการค้ามนุษย์ที่พบว่ามีทหารชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้อง ก็ถูกสั่งย้ายไปในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ทำให้มีตำรวจจำนวนไม่น้อยต้องลาออก ยังไม่นับเรื่องการรีดไถส่วยสินบน หรือการทำร้ายซ้อมทรมานที่ทำโดยตำรวจ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย เคยทำหน้าที่ฝ่ายค้านร่วมกัน ในเวลานั้นเรายืนยันสิ่งเดียวกันว่าต่อต้านระบบอุปถัมภ์ นายเศรษฐา ทวีสิน เองก็เคยประกาศบนเวทีหาเสียงว่าระบบเส้นสายต้องถูกจัดการออกไป แต่กลายเป็นว่าวันนี้เราเห็นคำพูดอย่างเป็นธรรมชาติเกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์ผ่านการฝากผู้กำกับในที่ประชุม สส.ของพรรคเพื่อไทย นี่คือเรื่องใหญ่ที่แสดงให้เห็นว่าระบบอุปถัมภ์ในองค์กรตำรวจไม่ได้หมดไป 

...

“ท่านต้องรับผิดชอบคำพูด แทนที่จะแก้ปัญหาระบบเส้นสายตามที่หาเสียง กลับใช้โครงสร้างรากแก้วที่มีมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว เป็นประโยชน์กับเครือข่ายของอำนาจท่านเองใช่หรือไม่ หากนายกฯ ไม่สามารถชี้แจงเรื่องเหล่านี้ได้ สุดท้ายคำตอบที่ประชาชนได้ยินก็ไม่ต่างอะไรกับคำตอบที่ได้รับตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เห็นว่าองค์กรตำรวจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้จริงในรัฐบาลเศรษฐา”

นายรังสิมันต์ ระบุต่อไปว่า คงไม่หวังกับรัฐบาลนี้แล้วในการแก้ไขปัญหาตำรวจ เพราะถ้ารัฐบาลอยากแก้ปัญหา สิ่งแรกที่ต้องมีคือเจตจำนง จึงขอเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้วยกระดุม 5 เม็ด ผ่านการรับฟังเสียงเรียกร้องของประชาชน เพื่ออย่างน้อยเป็นบทสรุปของสังคม พิจารณาดูว่ากระดุมเม็ดใดที่ทำได้บ้างและส่งต่อข้อเสนอนี้ไปยังองค์กรที่มีอำนาจอื่นๆ เพื่อไปสู่การปฏิรูปตำรวจให้สำเร็จ ดังนี้

กระดุมเม็ดแรก ทำให้การเลือก ผบ.ตร. อิงจากความสามารถ เป็นไปเพื่อประโยชน์ขององค์กรตำรวจและประชาชน โดยวิธีการเลือก 3 ขั้นตอน สามารถทำได้เลย ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ฉบับปัจจุบัน

  • ขั้นตอนที่ 1 ต้องเปิดให้ รอง ผบ.ตร. ที่ต้องการเป็น ผบ.ตร. สมัครเข้ามาพร้อมแฟ้มผลงาน เพื่อให้กรรมการที่กลั่นกรองใช้ดุลพินิจและให้ความเห็นได้ว่าคนนี้มีผลงาน มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำของตำรวจ

  • ขั้นตอนที่ 2 ต้องเปิดให้ รอง ผบ.ตร. ที่สมัครเข้ามาเป็น ผบ.ตร. ได้แสดงวิสัยทัศน์ว่าจะนำพาองค์กรตำรวจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

  • ขั้นตอนที่ 3 สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้ตำรวจเข้ามาใช้บริการเพื่อโหวตเลือก ผบ.ตร. ไม่ต้องถึงขนาดให้การโหวตเป็นตัวชี้วัด แต่อย่างน้อยเป็นเสียงที่สะท้อนต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

กระดุมเม็ดที่สอง ต้องแก้ไข พ.ร.บ.ตำรวจ กระจายอำนาจให้จังหวัดและประชาชนภายในจังหวัดเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่มีตำรวจประวัติไม่ดี ถูกย้ายไปที่นั่นที่นี่ ราวกับว่าจังหวัดนั้นเป็นกระโถน พวกเขาสามารถปฏิเสธได้ คนในพื้นที่จะรู้ว่าคนที่ย้ายมามีคุณภาพหรือไม่ นอกจากนี้ ประชาชนจะมีโอกาสกำหนดทิศทางการแก้ไขปราบปรามอาชญากรรม เพราะแต่ละพื้นที่มีปัญหาอาชญากรรมต่างกัน 

กระดุมเม็ดที่สาม นายกรัฐมนตรี ต้องอย่าทำให้ตำรวจหิว อย่าทำให้ตำรวจต้องไปหาเงินเองเพื่อความอิ่มท้อง และความสุขสบายของครอบครัว จากการศึกษาในต่างประเทศ ถ้าต้องการแก้ปัญหาให้ตำรวจไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน เราต้องทำให้ตำรวจระดับล่างที่มีเงินเดือนน้อยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขั้นต่ำที่สุดคือทำให้มีอุปกรณ์ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ ก่อนหน้านี้ตนเคยคำนวณว่าอย่างน้อยที่สุด การทำให้ตำรวจระดับล่างพออยู่ได้ ไม่ต้องควักเงินส่วนตัวเพื่อการทำงาน ควรเติมเงินเข้าไปประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลต้องตัดงบประมาณส่วนอื่นที่ไม่จำเป็นออกไป

กระดุมเม็ดที่สี่ รัฐบาลควรส่งเสริมให้ตำรวจชั้นประทวนมีโอกาสเติบโตมากขึ้น เช่น ส่งเสริมตำรวจชั้นประทวนที่ยังไม่จบปริญญาตรี ให้เข้าถึงการศึกษาชั้นปริญญาตรี ตำรวจที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปแล้ว ควรส่งเสริมให้มีหน้าที่การงานที่สูงขึ้นในอนาคต เพราะปัญหาที่เรากำลังเจอตอนนี้ คือการรับบุคคลภายนอกที่บอกว่าเป็นกลุ่มคุณวุฒิที่ขาดแคลน แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ท่านขาดแคลนคือนามสกุลดัง ไม่ได้มีความพิเศษอะไร หากดำเนินการตามข้อเสนอของตน องค์กรตำรวจจะได้คนที่รู้ระบบงานอยู่แล้ว ไม่ต้องฝึกงานใหม่ ตำรวจระดับล่างถึงจะมีความหวังในอาชีพการงาน

กระดุมเม็ดที่ห้า รัฐบาลต้องเลิกให้ตำรวจทำในสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการติดตามผู้บังคับบัญชาคราวละจำนวนมากๆ ซึ่งไม่รู้ทำไปทำไม รวมถึงโครงการที่ไม่จำเป็นทั้งหลายที่งานตำรวจต้องไปรับผิดชอบ เช่น โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช ซึ่งในส่วนนี้ หลังจากมีการเรียกร้องมาอย่างยาวนาน เช่น การบังคับขาวสามด้าน ที่ไม่ได้ทำให้องค์กรตำรวจได้ประโยชน์อะไร สุดท้ายสามารถยกเลิกได้ 

ในช่วงท้าย นายรังสิมันต์ ยังกล่าวด้วยว่า “การดำเนินการตามกระดุมทั้งห้าเม็ดนั้น ต้องใช้เวลา อาจไม่สามารถทำให้จบภายใน 1-2 ปี แต่ถ้าเราไม่เริ่มลงมืออะไรเลย ตำรวจก็จะเป็นแบบนี้ ปัญหาขององค์กรตำรวจไม่ใช่แค่ปัญหาของตำรวจ 200,000 คน หรือปัญหาของครอบครัวตำรวจ แต่เป็นปัญหาของพวกเราทั้งหมด จึงขอเรียกร้องถึงผู้ที่มีอำนาจบทบาท สามารถนำข้อเสนอเหล่านี้ไปเป็นแนวทางใช้ต่อได้ และที่สำคัญ เราอยากเห็นเจตจำนงของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา ทำให้องค์กรตำรวจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง อย่าปล่อยให้เป็นเหมือนที่ผ่านมาอีกเลย”