นายกรัฐมนตรี พบ USABC ย้ำไทยเปิดกว้างสำหรับธุรกิจและการลงทุน พร้อมเสนอ 3 ประเด็น ความยั่งยืน ความร่วมมือกับพันธมิตร เศรษฐกิจดิจิทัล เพิ่มโอกาสมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกัน
วันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 คณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (U.S.-ASEAN Business Council: USABC) เข้าเยี่ยมคารวะ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายโรเบิร์ต โกเดค (H.E. Mr. Robert Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย และนาย Brian McFeeters รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการระดับภูมิภาค สภาธุรกิจสหรัฐฯ - อาเซียน พร้อมด้วยผู้แทนบริษัทสมาชิก รวม 42 บริษัท จากภาคกลุ่มอุตสาหกรรม 8 สาขาหลัก ได้แก่ พลังงานและปิโตรเคมี สาธารณสุข เทคโนโลยีดิจิทัล การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภค บริโภค และผลิตภัณฑ์ความงาม คมนาคมและการขนส่ง และธุรกิจที่ปรึกษาและกฎหมาย โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบ USABC อีกครั้ง ถือเป็นโอกาสที่จะได้แลกเปลี่ยนมุมมองและข้อเสนอแนะร่วมกันว่าจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของไทย-สหรัฐฯ ได้อย่างไรบ้าง และเป็นการสานต่อข้อหารือทั้งจากการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (UNGA) เมื่อเดือนกันยายน 2566 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก (APEC) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งยังได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อพบปะกับผู้นำทางธุรกิจต่างๆ พร้อมเน้นย้ำข้อความที่ว่า “ขณะนี้ประเทศไทยเปิดกว้างสำหรับธุรกิจแล้ว และไม่มีเวลาใดที่เหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้วที่จะลงทุนในประเทศไทย”
...
ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการกระตุ้นเศรษฐกิจและการมีส่วนร่วมเชิงรุกร่วมกับพันธมิตรระหว่างประเทศ ซึ่งสหรัฐฯ เป็นมิตรอันเก่าแก่ของไทย มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งระหว่าง 2 ประเทศ โดยไทยยินดีที่จะกระชับความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น การพัฒนาอย่างสมดุลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล พลังงานสะอาด การดูแลสุขภาพ และอื่นๆ รวมถึงพร้อมขับเคลื่อนประเทศให้เจริญเติบโต ท่ามกลางการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระดับโลก ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และวิกฤติสภาพภูมิอากาศ ซึ่งได้ระบุถึง 3 ประเด็นสำคัญที่สามารถร่วมกับนักธุรกิจสหรัฐฯ ได้ ดังนี้
ประการแรก ความยั่งยืน ไทยมุ่งมั่นที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 ผ่านการเร่งรัดโครงการริเริ่มเศรษฐกิจสีเขียว และการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน โดยขณะนี้ไทยกำลังดำเนินการทั้งการลด ด้วยการลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น ลดการใช้พลังงานฟอสซิล และดำเนินการชดเชย ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้และลงทุนในพลังงานหมุนเวียน
อีกทั้ง ไทยยินดีกับการลงทุนและองค์ความรู้ของสหรัฐฯ ในด้านพลังงานทดแทน เทคโนโลยีไฮโดรเจน ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน รวมทั้งเชิญชวนให้นักธุรกิจสำรวจโอกาสในภาคส่วนที่ทันสมัยของไทย ซึ่งหมายรวมถึงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขั้นต้น เกษตรกรรมขั้นสูง เทคโนโลยีชีวภาพ และยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) โดยไทยยินดีต้อนรับบริษัทในสหรัฐฯ ที่จะมาร่วมสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน พร้อมด้วยสิทธิประโยชน์จูงใจที่สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละบริษัท นอกจากนี้ รัฐบาลมีแนวทางที่จะออกตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bond) ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญของการสร้างความตระหนักรู้ถึงการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) และการบรรลุข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศ
ประการที่ 2 ความร่วมมือกับพันธมิตร ไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค ซึ่งรัฐบาลจะยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายการคมนาคมในภูมิภาค เช่น แผนที่จะสร้างสนามบินระดับภูมิภาคแห่งใหม่ในจังหวัดภูเก็ตและเชียงใหม่ พัฒนาสนามบินขนาดเล็ก และสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และที่อื่นๆ เข้ากับทะเลผ่านประเทศไทย นอกจากนี้ ไทยยังมีโครงการ Landbridge ซึ่งเป็นโครงการเชื่อมต่อขนาดใหญ่ให้กับนักลงทุนที่มีศักยภาพ ช่วยลดระยะเวลาในการเดินทาง โดยเชื่อมต่อทะเลอันดามันเข้าสู่อ่าวไทย ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเร่งการเจรจา FTA ตลอดจนยกระดับ FTA ที่มีอยู่เดิม ให้สอดคล้องกับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน เสริมสร้างห่วงโซ่อุปทาน และการพัฒนาเศรษฐกิจสะอาด
ประการที่ 3 การสร้างความเติบโตผ่านเศรษฐกิจดิจิทัล รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่สร้างผลกำไรสูง โดยมีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างระบบนิเวศนี้ด้วยนโยบายและมาตรการเชิงนวัตกรรมต่างๆ โดยนายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกเพื่อสนับสนุนความต้องการด้านดิจิทัลของไทย ซึ่งมีแนวทางที่จะลงทุนและเป็นพันธมิตรร่วมกัน รวมทั้งในอนาคต ไทยเชื่อมั่นว่าจะได้ร่วมมือกับ USABC และธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งพร้อมทำงานร่วมกันเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ความรู้ และทรัพยากรอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศดิจิทัล
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมตรีเน้นย้ำว่า ประเทศไทยเปิดกว้างและมีความพร้อมทุกด้าน ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ โดยเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อเกิดความร่วมมือกัน จะสามารถก้าวไปสู่อนาคตที่สดใสของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ
ทางด้าน รองประธานอาวุโส และกรรมการผู้จัดการระดับภูมิภาค USABC กล่าวชื่นชมและยินดีที่ได้มีส่วนร่วมกับนายกรัฐมนตรีไทย นับตั้งแต่การประชุมในนิวยอร์ก และอีกครั้งในซานฟรานซิสโก เชื่อมั่นว่าการพบกันครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้รับฟังข้อมูลจากตัวแทนบริษัทต่างๆ ซึ่งมาจากธุรกิจหลายภาคส่วน เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความต้องการ เพื่อความร่วมมือ
จากนั้น เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ขอบคุณที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นต่อคณะสภาธุรกิจ บริษัทที่เข้าร่วมการหารือในวันนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสหรัฐฯ และธุรกิจของสหรัฐฯ ที่มีในไทย ยินดีที่ได้ทราบว่าไทยเปิดกว้างสำหรับธุรกิจ ซึ่งบริษัทต่างๆ พร้อมที่จะทำธุรกิจเพื่อช่วยสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ทั้งไทย สหรัฐฯ และโลก โดยสหรัฐฯ มุ่งมั่นที่จะค้นหาวิธีใหม่ๆ สำหรับการค้าและการลงทุน บริษัทเหล่านี้ถือเป็นตัวแทนของตำแหน่งงานอีกหลายหมื่นตำแหน่ง มีมูลค่าการค้าหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดยินดีที่จะสนับสนุนความเจริญรุ่งเรือง สร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกันเพื่อพวกเราทุกคน
ขณะที่ผู้แทนจากบริษัทภาคเอกชนสหรัฐฯ ระบุว่า มีแนวทางที่จะสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง และยินดีที่รัฐบาลจะเร่งขับเคลื่อน FTA และมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลที่จะช่วยสนับสนุนการขยายการค้าการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงเห็นพ้อง กับความมุ่งมั่นของไทยในการผลักดันการใช้พลังงานทดแทน เศรษฐกิจสีเขียว การสร้างความยั่งยืน ซึ่งหลายบริษัทแสดงความพร้อมที่จะหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกัน เช่น ภาคคมนาคมและการขนส่ง มีแนวทางที่จะขยายการลงทุนในไทยในระยะยาวและพร้อมต่อยอดมาตรการ EV ของรัฐบาล ภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ยินดีที่จะส่งเสริมผลผลิตจากเกษตรกรของไทย และผลักดันให้อาหารไทยให้เป็น Food Paradise ภาคเทคโนโลยีดิจิทัล ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีของสหรัฐฯ มีศักยภาพ โดยเฉพาะเทคโนโลยีคลาวด์และระบบฐานข้อมูลต่างๆ ภาคยาและเวชภัณฑ์ ยินดีที่จะหารือถึงแนวทางการจัดหาวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก ซึ่งจะประสานงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขของไทยต่อไป รวมไปถึงภาคการให้บริการทางการเงิน ยินดีที่จะพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในไทยให้รองรับต่อเทคโนโลยีในอนาคตและการสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณสำหรับความมุ่งมั่นและการหารือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันที่จะช่วยกำหนดรูปแบบความร่วมมือในอนาคต ซึ่งสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ พร้อมเชื่อมั่นว่ายังมีอะไรอีกมากที่สามารถลงมือและทำได้ร่วมกัน.