ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ เป็นข้อเตือนสติที่ควรรับฟังและท่องเอาไว้เสมอ “ตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานอยู่ตลอดไป”

ไม่ได้สอนใคร แต่ใครเอาไปใช้ก็ไม่ว่า เพราะมันเป็นคำตอบที่ลงรากลึกในความเป็น “คน” บนความรับผิดชอบ

โดยเฉพาะ “นักการเมือง” ที่ต้องก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำประเทศ

อันหมายถึงหน้าที่การงานและความรับผิดชอบทั้งหลายทั้งปวงที่จะต้องพึงปฏิบัติ หากออกมาดีประชาชนและประเทศชาติก็จะได้ประโยชน์

ไม่แค่นั้นตัวเขาเองก็จะนั่งอยู่ในใจ ไม่รู้ลืม

“เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 คงรู้ดีในข้อนี้

เพราะนับแต่ตัดสินใจกระโดดลงสู่สนามการเมืองได้เห็นถึงความตั้งใจและความปรารถนาดีที่ต้องการให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้า

ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ก็เป็นโชคดีของประเทศที่ได้คนอย่างนี้มานำพาทิศทาง โดยปราศจากข้อเรียกร้องใด นอกจากงาน...งานและงาน

แต่เผอิญที่ว่าการเข้าสู่เวทีการเมืองและได้ยืนบนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นต้องอาศัย “ใบบุญ” จากคนอื่น

คือ “ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของพรรค “เพื่อไทย”

คงจะผูกติดตามไปอย่างแยกไม่ออก จนกว่าจะพ้นจากตำแหน่ง

ภารกิจของนายกรัฐมนตรีนอกจากจะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ประสบความสำเร็จแล้ว ยังต้องรับผิดชอบต่อ “เพื่อไทย” อย่างแยกไม่ออก

การส่งมอบหน้าที่ไปต่อยัง “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้า “เพื่อไทย” ลูกสาวของเจ้าของพรรคที่จ่อรอสู่ความเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31

นั่นคือความสำเร็จในงานไม่ใช่ความล้มเหลว

คงเป็นความ “กดดัน” ที่ “เศรษฐา” ได้รับและตอบแทนที่ทำให้เขาได้รับโอกาส

...

จึงไม่แปลกที่เขา นอกจากจะเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ปกติแล้วแทบจะไม่เคยเห็นการควบตำแหน่งลักษณะนี้

เพราะรัฐมนตรีคลังนั้นถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีความรับผิดชอบสูง เนื้องานเข้มข้น มีรายละเอียดมาก

ยิ่งสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันไม่ค่อยจะดีนักจึงสุ่มเสี่ยงในฐานะผู้รับผิดชอบ ถ้าดีก็ดีไป ถ้าพลาดขึ้นมาก็จบเห่ได้

แต่ที่ชัดเจนก็คือ “เพื่อไทย” ไม่มีมือเศรษฐกิจระดับนี้

นี่จึงเป็นดาบ 2 คม ที่ต้องแบกรับไว้ ด้านหนึ่งมีความรอบรู้ด้านเศรษฐกิจกว่ามุมอื่นๆ และยังสามารถดูแลรับผิดชอบโดยตรง

นอกจากนโยบายประชานิยม “ดิจิทัลวอลเล็ต” แล้ว การทำหน้าที่เซลส์แมนเดินสายไปต่างประเทศเพื่อดึงนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่ปรากฏ

ทำให้เขาเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นแน่ จีดีพีขึ้นถึง 5%

เป็นการส่งมอบความสำเร็จคืนเจ้าของพรรคได้

แต่ในความเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ภารกิจและความรับผิดชอบมีขอบข่ายที่กว้างขวางกว่านี้มากทั้งการศึกษา ปัญหาสังคม เป็นต้น

เท่ากับว่ามีความจำเป็นที่ต้องปล่อยงานเหล่านี้ให้กับคนอื่นปฏิบัติจึงไม่แปลกที่ก่อนขึ้นเครื่องไปซาน ฟรานซิสโกครั้งนี้

เขาจึงอารมณ์ไม่ดีและขึ้นเสียงกับเจ้าหน้าที่ที่บอกว่า “ผมสั่งแล้วทำไมไม่ทำ” ให้ปรากฏต่อสาธารณะ

เป็นเพียงหนังตัวอย่าง

เป็นเพียงการจัดสรรภารกิจที่ไม่รอบด้านพอ!

“ลิขิต จงสกุล”

คลิกอ่านคอลัมน์ "สับรางวันอาทิตย์" เพิ่มเติม