อัยการอาวุโส สำนักอัยการสูงสุด ชี้คดีรับสินบน "ลูกเขยชาดา" ต้องตรวจสอบให้ลึก หากพบว่ามีการทำผิดจริง นี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแรก
วันที่ 25 ต.ค. 2566 ใน "NewsRoom" รายการทอล์กคุยข่าวใหญ่ ทางไทยรัฐออนไลน์ ดำเนินรายการโดย คิงส์ พีระวัฒน์ อัฐนาค และ กาย พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ วันนี้เป็นการพูดคุยกันในประเด็นร้อนที่สังคมจับตามองหลัง "ลูกเขยชาดา" นายวีระชาติ รัศมี อายุ 45 ปี อดีตนายกเทศบาลตลุกดู่ จ.อุทัยธานี ถูกจับคดีเรียกรับเงินสินบน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เผยว่า วันนี้มีการประชุมพนักงานสอบสวน ในการสอบปากคำประเด็นต่างๆ มีการพูดหลายเรื่อง ใน 30 วันนี้ ก็เป็นการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการกับผู้ต้องหา ซึ่งตามพยานหลักฐานเท่าที่ศาลออกหมายจับนี้ ก็พอเพียงแล้ว ส่วนการออกหมายจับเพิ่ม กำลังพิจารณาอยู่ เพราะมีกลุ่มคนที่มาร่วมกับคนที่เอาเงินด้วย
สำหรับประเด็นเรื่องการประกันตัวของเจ้าหน้าที่รัฐ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยว่า เวลาเราจับผู้ต้องหาเข้ามา ในอดีตบัญชีก็จะไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนวิธีการ และมีปล่อยให้ผู้ถูกกล่าวหาไปทำงานได้ตามปกติ ซึ่งมันขัดกับความรู้สึกอย่างมาก ภายหลังตนเองก็ขอให้กระทรวงมหาดไทยรับรูปคดีต่อด้วย ตรงนี้ทางกระทรวงก็มีการสั่งการทางผู้ว่าฯ ต่างๆ แล้วภายหลัง ก็มีการให้ออก หรือพักราชการไว้ก่อน ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีขึ้น
...
เคสนี้ที่มีการปล่อยประกันตัวชั่วคราว ทิศทางการประกันนั้นเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน ที่พิจารณาและสอบสวน แต่เรามีความเชื่อว่ากลุ่มคนดังกล่าว ไม่น่าจะไปยุ่งกับพยานหลักฐาน ก็จึงให้ประกันตัวไป สำหรับการจับกุมที่ปรากฏว่ามีหน่วยตำรวจจู่โจม ก็เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาเป็นห่วง เพราะมองว่าเป็นกลุ่มผู้มีอิทธพล จึงต้องนำทีมจับกุมไปทั้งหมด เพื่อความไม่ประมาท สำหรับในตอนจับกุมนายวีระชาตินั้น ตอนแรกเขาก็ตกใจ และดื้อหน่อยๆ แต่พออธิบายก็เข้าใจถึงการออกหมายจับ และให้ความร่วมมือ สำหรับประเด็นอื่นๆ เรากำลังลงละเอียดไปเรื่องผู้มีอิทธิพล เพราะมันมีการข่มขู่บังคับด้วย
เมื่อให้นิยามและจำกัดความคำว่า "ผู้มีอิทธิพล" ในมุมของตำรวจ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เป็นผู้มีอำนาจ ที่สามารถข่มขู่ บีบบังคับทุกคนให้ทำตามท่ีตัวเองสั่งได้ โดยการทำงานครั้งนี้ เราทำเป็นเรื่องความลับ ไม่มีใครรู้เลย เพราะมันเป็นงานสืบสวน จะไปจับกุมใครก็ต้องเก็บความลับให้อยู่ ส่วนในเรื่องการประกันตัวนั้น ต้องให้สิทธิของคนถูกจับด้วย เพราะเมื่อศาลยังไม่พิพากษาเข้า ก็ถือว่ายังไม่มีความผิด ส่วนใหญ่เราก็ให้ประกันตัว แต่หากมีการข่มขู่พยาน หรือทำลายหลักฐาน ก็ให้ยกเลิกการประกันตัว ซึ่งก็ต้องดูเป็นเคสๆ ไป
โดยเรื่องข้อมูลเผยว่า ผู้มีอิทธิพลร้อยกว่าราย ตนคิดว่าข้อมูลมันน้อยเหลือเกิน คนมีอำนาจเยอะกว่านั้น พอมีอำนาจก็ทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ เพราะแค่ อบต. ก็ 7 พันที่แล้ว ไหนจะหน่วยงานราชการอื่นๆ อีก ส่วนที่คนถามว่าการจับกุมครั้งนี้ มีคำสั่งหรือเปล่า ต้องบอกว่าเราไม่ได้รับคำสั่งจากใคร แต่ทำเพราะว่ามีผู้เดือดร้อนมาแจ้งเราว่าเขาถูกรังแก ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน
เมื่อถามว่าเทียบกับเคสกำนันนกไหม พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า มันเป็นคนละเรื่องกัน อย่างกำนันนก อาจจะไปยุ่งเรื่องของการประมูลงานมา แล้วไปก่อเหตุอาชญากรรม แต่เคสนี้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่ไปเรียกรับเงิน โดยแบ่งเปอร์เซ็นต์กัน เป็นคนละเรื่อง สำหรับพยานที่มาร้องเรียน ตอนนี้เราประสานกับทาง ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว
ด้าน อาจารย์ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส สำนักงานการสอบสวน สำนักอัยการสูงสุด เผยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า มันก็เรื่องที่ต้องเกิด และดำเนินคดีตามปกติ ส่วนการดำเนินคดี ก็ไม่น่าเป็นห่วง และไม่น่าตกใจ แม้จะเป็นลูกเขยของคนในคณะรัฐมนตรี เพราะเป็นการออกหมายจับ ก่อนการทำสวนคดีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง มันไม่ต่างกัน เพราะคดีนี้มันเริ่มต้นจากการขอประมูลซื้อทำประปา แต่มีคนโทรมาหาผู้แจ้งความว่า ถูกห้ามไม่ให้ประมูล แล้วก็เกิดการเจรจา ซึ่งก็เกิดเป็นคำถามตามมาว่า ข้อมูลการออกหมายจับมันเพียงพอไหม ซึ่งตนคิดว่ามันต้องมีหลักฐานเพียงพอ ถึงจะออกหมายจับได้ โดยในเรื่องนี้ ก็ต้องมาดูว่านายกเทศมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องตอนไหน แต่ก็เชื่อว่ามันมีพยานหลักฐาน ถึงได้ออกหมายจับ เป็นไปตามคดีปกติอยู่แล้ว คงไม่มีอะไรน่าห่วง
สำหรับโทษการแจ้งข้อหา สุดท้ายมันก็คงส่งไปที่ ป.ป.ช. เพื่อให้เขาดำเนินการต่อ ซึ่งประเด็นสำคัญ คืออยู่ที่การต่อรองว่า ใครมาต่อรอง แล้วใครเป็นคนบอกว่าไม่ให้ยื่นซองประมูล และต้องดูต่อว่าใครเป็นคนเอาเงินมาให้ และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เขาก็คงเอาตัวรอด แต่หากเขาจะช่วยกัน ก็คงจะไม่พูดถึง ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่พยานทั้ง 2 คน แต่โทษเรื่องนี้นั้น ตนว่าไม่เท่าไร แต่มันจะไปกระทบกับท่านชาดามากน้อยเท่าไรมากกว่า เพราะเขาเป็นผู้ปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีอำนาจมากกว่ากฎหมายกำหนด
เมื่อถามว่าถึงนิยาม "ผู้มีอิทธิพล" อาจารย์ปรเมศวร์ กล่าวว่า แล้วแต่คนจะจำกัดความ เพราะมันมีหลายรูปแบบ เพียงแค่สามารถสั่งงานใครก็ได้ โดยไม่มีกฎหมายมารองรับก็ถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลแล้ว ส่วนในกรณีที่มีสั่งไม่ให้ร้านค้าขายวัสดุให้ ก็ต้องถือว่ามีอิทธิพลพอสมควร เพราะมันหากฎหมายมารองรับไม่ได้ แม้ในมหาดไทยเขาให้นิยามไปเรื่องการอิทธิพลข่มเหงรังแก แต่ตนมองว่าการมีอิทธิพล มันมีอำนาจที่ทำได้มากกว่านั้น
สำหรับกรณีกำนันนก และกรณีคุณวีราชาติ ตนมองว่าไม่ต่างกัน แต่ของกำนันนกเขาไปไกลแล้ว อันนั้นเขาคุมได้ทั้งจังหวัด แต่อันนี้ยังเด็กๆ อยู่ ซึ่งปกติแล้วการใช้เวลาดำเนินการ ถ้าพนักงานสอบสวนทำเอง จะใช้เวลา 3-6 เดือนแล้วแต่ความยากง่าย แต่ถ้าเป็นของ ป.ป.ช. พนักงานต้องยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน ซึ่งในกฎหมายเขาก็มีกำหนดระยะเวลาในการดำเนินคดีเหมือนกัน แต่ตนเองนั้นยังหาไม่เจอว่า ต้องเสร็จภายในระยะเวลาที่บัญญัติกี่วัน
เมื่อถามถึงผลของการดำเนินคดี อาจารย์ปรเมศวร์ เผยว่า สำหรับคดีที่มีหลักฐานจาก ป.ป.ช. ก็ส่งให้อัยการสูงสุด หากเห็นด้วยก็ฟ้องต่อ แต่หากอัยการสูงสุดเห็นไม่ตรงกัน ก็ต้องยื่นให้ป.ป.ช. ฟ้อง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วทางอัยการก็ฟ้องให้หมด แต่หากไม่เห็นด้วยก็ต้องกลับไปให้ ป.ป.ช.ฟ้องเอง ไม่ใช่การสั่งยกฟ้อง เพราะมันจะต้องจบ ไม่สามารถดำเนินคดีต่อได้ จนกว่าพยานหลักฐานจะเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม แม้บ้านเราจะมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการทุจริต แต่คดีทุจริตไม่ลดลงเลย ซึ่งใน 2 ปีที่ผ่านมาใน 3 ภาคที่ตนเองรับผิดชอบมีคดีทุจริตตั้ง 500 กว่าเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่คดีที่เรียกรับสินบนจะมีอยู่ 2-3 แบบ คือ ผู้ประมูลเสนอประมูลไม่ได้ก็ให้ตรวจสอบ สองคือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ไม่ตรงจำนวน ก็ร้อง หรือบางครั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่อยากรับผิดชอบ ก็ร้องขึ้นมา
ซึ่งเรื่องที่เป็นข่าวนี้ ต้องถามว่าเราจะกวาดล้างขึ้นมาจริงๆ ไหม หากจะทำจริงๆ ก็ต้องตรวจสอบย้อนหลัง เพราะตนเชื่อว่าหากท่านทำผิดจริง เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องแรก ต้องถอยหลังไปดูทุกเคส ว่าการทุจริตก่อนหน้านี้มันมีไหม เมื่อถามว่าหากจะรื้อจริงๆ จะไปเจอตอไหม อาจารย์ปรเมศวร์ กล่าวว่า ก็ว่ามันก็คงต้องมีบ้าง โดยการทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ จะขึ้นศาลปราบปรามทุจริต ซึ่งมันมี 2-3 ศาล แต่คดีอาญานักการเมือง มันอุทธรณ์ได้ครั้งเดียว แต่คดีนี้มันขึ้นศาลตามปกติได้
สำหรับระบบของ e-bidding การเข้าถึงข้อมูลมันยาก เพราะข้อมูลมันจะไปที่กรมบัญชีกลาง ซึ่งการซื้อข้อมูลมันก็เป็นความผิดเพราะเผยแพร่ข้อมูลรัฐ ก็มีความผิดทั้งคนเผยแพร่ และคนซื้อ ซึ่งในกรณีที่เคยเจอการเรียกรับผลประโยชน์ แต่เดิมตำรวจไม่กล้ารับแจ้ง คนแจ้งก็ไม่กล้าแจ้ง เพราะมีความผิด แต่ในปัจจุบันนี้คนที่ไปแจ้ง แม้จะเป็นคนจ่ายก็ไม่ต้องรับโทษ ก็ต้องคิดใหม่.
อย่างไรก็ตาม ติดตาม "NewsRoom" สดทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.30-19.30 น. ทางยูทูบไทยรัฐออนไลน์ และเฟซบุ๊กไทยรัฐออนไลน์.