“ไอติม พริษฐ์” แนะ 2 ทางเลือก ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ลดกำลังพล เพิ่มยอดความสมัครใจ กำจัดยอดผี หรือเลิกแบบการันตีไม่มีเกณฑ์ หวังรัฐบาลผลักดันจริงจังจนเข้าสู่วาระประชุมสภา
วันที่ 5 กันยายน 2556 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ 2 ทางเลือกในการ #ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร - เลิกแบบต้องลุ้นปีต่อปี vs. เลิกแบบการันตีไม่มีเกณฑ์ โดยระบุว่า การ “เกณฑ์” ทหารคือการบังคับคนที่ไม่อยากเป็นทหารเข้าไปรับราชการทหาร โดยปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายที่เปิดช่องให้รัฐสามารถบังคับคนไปเป็นทหารได้ (พ.ร.บ.รับราชการทหาร 2497) หากจำนวนคนที่สมัครใจเป็นทหารกองประจำการในแต่ละปี (supply หรืออุปทาน) มีจำนวนที่น้อยกว่ายอดกำลังพล หรือจำนวนคนที่กองทัพต้องการให้มาทำหน้าที่ทหารกองประจำการในแต่ละปี (demand หรืออุปสงค์)
หากเราย้อนไปดูสถิติ 5-10 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า ยอดกำลังพลที่กองทัพขอในแต่ละปีจะอยู่ที่ประมาณ 90,000 คนโดยเฉลี่ย และจำนวนคนที่สมัครใจเป็นทหารในแต่ละปีจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 คนโดยเฉลี่ย
ดังนั้นโดยเฉลี่ยในแต่ละปี จะมีคนที่ไม่อยากเป็นทหารที่ถูกบังคับไปเป็นทหารผ่านกระบวนการจับใบดำ-ใบแดง ประมาณปีละ 50,000-60,000 คน
ผมเชื่อว่าทุกฝ่ายตระหนักว่าการมีอยู่ของการบังคับเกณฑ์ทหารมี “ราคา” ที่ต้องจ่าย เพราะการเกณฑ์ทหารไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของปัจเจกบุคคล จนทำให้หลายคนต้องสูญเสียโอกาสความก้าวหน้าทางการงาน หรือเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัว แต่การบังคับเกณฑ์ทหารยังส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นการดึงทรัพยากรมนุษย์ออกจากตลาดแรงงานในวันที่ประเทศไทยเผชิญกับ “สังคมสูงวัย” และมีสัดส่วนคนวัยทำงานที่ลดลง
...
แม้ฝ่ายที่สนับสนุนการเกณฑ์ทหารมักหยิบยกเหตุผลเรื่องความมั่นคง แต่ผมและพรรคก้าวไกลยืนยันว่า การยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารสามารถกระทำได้ โดยไม่กระทบต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศต่อเมื่อ 2 เงื่อนไขต่อไปนี้เป็นจริง
(A) กองทัพลดจำนวนพลทหารที่ถูกใช้กับภารกิจที่ไม่จำเป็นต่อการรักษาความมั่นคง (ลด demand) เช่น
- กำจัด “ยอดผี” หรือคนที่ปรากฏชื่อในทะเบียนพลทหาร แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นทหาร
- ยกเลิกพลทหารรับใช้ประจำบ้านของนายทหาร
- ลดงานที่จำเป็นน้อยลงในบริบทของภัยคุกคามยุคใหม่ที่เปลี่ยนรูปแบบไปจากอดีต
(B) กองทัพยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหาร เพื่อนำไปสู่ยอดคนที่สมัครเข้ามาเพิ่มขึ้น (เพิ่ม supply) เช่น
- รับประกันรายได้และสวัสดิการที่สอดคล้องกับค่าครองชีพ และโอนตรง-โอนครบ-ไม่หัก-ไม่ทอน
- เพิ่มโอกาสในการเรียนโรงเรียนนายร้อย-นายสิบ และโอกาสในการเลื่อนขั้นสู่นายทหารชั้นสัญญาบัตร
- คุ้มครองสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยของพลทหารจากความรุนแรงในค่าย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยุทธศาสตร์ในการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร จึงมี 2 วิธีใหญ่ๆ:
วิธีที่ 1 = เลิกแบบต้องลุ้นปีต่อปี หรือค่อยลดๆ เพื่อหวังเลิก (โดยไม่แก้กฎหมาย)
วิธีนี้คือการทำ (A) และ (B) ควบคู่ไปเรื่อยๆ เพื่อพยายามลด “ช่องว่าง” ระหว่างยอดกำลังพลที่กองทัพขอกับยอดจำนวนคนที่สมัครใจเป็นทหาร
- เช่น สมมติกองทัพลดยอดกำลังพลที่ขอจาก 90,000 เหลือ 60,000 และกองทัพยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหาร จนทำให้ยอดคนสมัครเพิ่มจาก 30,000 เป็น 50,000 จำนวนคนที่ถูก “เกณฑ์” ไปเป็นทหาร ก็จะลดจาก 60,000 (90,000 ลบ 30,000) เป็น 10,000 (60,000 ลบ 50,000)
- โดยหากดำเนินการต่อไป ก็อาจทำให้ช่องว่างนั้นลดเหลือศูนย์ในที่สุด และทำให้วันหนึ่งการเกณฑ์ทหารถูกเลิกไปโดยปริยาย เพราะยอดสมัครจะสูงกว่ายอดกำลังพลที่กองทัพขอ
วิธีนี้เป็นวิธีที่กองทัพประกาศว่ากำลังดำเนินการอยู่ ตามแผนปฏิรูปกองทัพ 2566-70 ของสภากลาโหม
- คำถามที่ตามมาว่า กองทัพจะสามารถ “ลด” จำนวนคนที่ถูกเกณฑ์ได้มาก-น้อยแค่ไหนในระยะสั้น และจะสามารถ “เลิก” การเกณฑ์ทหารทั้งหมดได้เร็ว-ช้าแค่ไหน จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของกองทัพในการขยับ 2 ตัวเลขดังกล่าว
วิธีที่ 2 = เลิกแบบการันตีไม่มีเกณฑ์ (โดยการแก้กฎหมาย)
วิธีนี้คือการแก้ พ.ร.บ.รับราชการทหาร 2497 เพื่อตัดอำนาจกองทัพในการบังคับคนมาเป็นทหารในยามที่ไม่มีสงคราม เพื่อให้กองทัพประกอบไปด้วยกำลังพลที่สมัครใจเข้ามาเท่านั้น
วิธีนี้เป็นวิธีที่พรรคก้าวไกลเสนอ เพราะ 3 เหตุผล:
(1) เป็นการวางกรอบเวลาและเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจนว่า จะยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารภายในเมื่อไร (โดยจะเลิกทันที หรือมีเวลาเท่าไรให้กองทัพปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่าน สามารถกำหนดได้ผ่านบทเฉพาะกาลของกฎหมาย)
(2) เป็นการรับประกันกับเยาวชนว่าเมื่อเลิกแล้ว จะไม่ต้องมาลุ้นปีต่อปีว่าจะถูกบังคับไปเป็นทหารหรือไม่ (เพราะหากเป็นวิธีที่ 1 แม้ปีก่อนหน้าจะไม่มีการเกณฑ์ทหาร เพราะยอดสมัครใจสูงกว่ายอดที่กองทัพขอ แต่ปีถัดไปก็ไม่ได้มีอะไรรับประกันว่ายอดที่กองทัพขอจะไม่กลับมาสูงกว่ายอดสมัครใจ จนทำให้ต้องมีการบังคับคนไปเป็นทหารอีก)
(3) เป็นการเพิ่มแรงกดดันกองทัพในการยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหารอย่างเร่งด่วน - การคงกฎหมายที่เปิดช่องให้กองทัพเกณฑ์ทหารได้หากยอดสมัครไม่พอ อาจทำให้กองทัพไม่มีแรงกดดันเพียงพอในการเอาจริงกับปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตพลทหารในค่ายเท่าที่ควร เพราะกองทัพรู้ว่าหากคุณภาพชีวิตพลทหารไม่ดี จนทำให้ยอดสมัครน้อย (เช่น มีปัญหาความรุนแรงในค่าย) กองทัพก็สามารถบังคับคนมาเป็นทหารให้เต็มยอดกำลังพลที่ขอได้อยู่เรื่อยๆ แต่ในทางกลับกัน หากเราแก้กฎหมายเพื่อปิดช่องไม่ให้มีการเกณฑ์ทหาร กองทัพจะถูกเร่งให้ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหาร มิเช่นนั้นจะไม่มีกำลังพลเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่
แม้คำสัมภาษณ์ของ คุณสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูสอดคล้องกับวิธีที่ 1 มากกว่าวิธีที่ 2 ที่พรรคก้าวไกลเสนอ แต่เราคงต้องรอดูความชัดเจนอีกครั้งหลังการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
หากรัฐบาลยืนยันวิธีที่ 1 เราก็เพียงแต่หวังว่ารัฐบาลจะให้ความชัดเจนเรื่องตัวเลขและกรอบเวลา ว่าจะตั้งเป้าลดจำนวนคนที่ถูกเกณฑ์ปีละกี่คน และจะตั้งเป้าให้เลิกการเกณฑ์ได้ทั้งหมดภายในปีไหน
แต่หากรัฐบาลเลือกวิธีที่ 2 เราก็หวังว่าทางรัฐบาลและพรรคก้าวไกลจะร่วมกันผลักดันการแก้ไขกฎหมายเพื่อยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารให้ผ่านความเห็นชอบของสภาได้โดยเร็ว เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.รับราชการทหาร ที่พรรคก้าวไกลยื่นไปที่สภา เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ตอนนี้กำลังรอเพียงการรับรองโดยนายกฯ เศรษฐา เพื่อให้บรรจุเข้าสู่การพิจารณาในวาระของการประชุมสภา.