โปรดเกล้าฯแล้ว ครม. “เศรษฐา 1” ไร้ชื่อ “พิชิต-ไผ่” “นายกฯนิด” แจงติดปัญหาความไม่แน่นอนเรื่องคุณสมบัติ แต่ยังคงโควตาเก็บที่เอาไว้ให้ รอตรวจสอบให้ชัวร์อีกครั้ง ขอบคุณไม่ทำให้ ครม.ลำบากใจ ประเทศชาติเดินต่อได้ กางไทม์ไลน์นำ ครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ฯ 17.00 น. วันที่ 5 ก.ย. เรียกประชุม ครม.นัดพิเศษ 6 ก.ย.วางแนวแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา “วันนอร์” รับลูกจ่อเปิดเวทีสภาฯให้โชว์ของ 11 ก.ย. “เศรษฐา” เปิดพรรค พท.รับฟังกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ตัวแทนกลุ่มชง 5 ข้ออัปเกรดพี่วิน จยย. นายกฯโอ๋ให้ความสำคัญ รับปากคุยธนาคารออมสินเปิดทางเข้าถึงทุน “สุทิน” เดินสายพบอดีตบิ๊กทหารขอคำปรึกษางานความมั่นคง “ไชยา” ชูไอเดียเอาน้ำไว้ในนา เอาป่าไว้ในบ้าน หวังพลิกฟื้นชีวิตเกษตรกร “พิธา” ทวงรัฐบาลรักษาสัจจะพูดอะไรไว้ต้องทำ

รัฐบาล “เศรษฐา 1” เตรียมพร้อมเริ่มปฏิบัติหน้าที่ หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งครม.ลงมาเรียบร้อย ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายก รัฐมนตรี ระบุว่า ภายหลังนำ ครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 5 ก.ย. และวันที่ 6 ก.ย.จะประชุม ครม.นัดพิเศษหารือ เตรียมแถลงนโยบายของรัฐบาล

โปรดเกล้าฯ ครม. “เศรษฐา 1”

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 2 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี ความว่า พระบาท สมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิรา ลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศ ลงวันที่ 22 ส.ค. พ.ศ.2566 แล้วนั้น บัดนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เลือกสรรผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้วอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรองนายกฯ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร เป็นรองนายกฯและ รมว.ต่างประเทศ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรองนายกฯและ รมว.มหาดไทย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นรองนายกฯและ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นรองนายกฯและ รมว.พลังงาน นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

...

“สุทิน” รมว.กห. “สุริยะ” คุมคมนาคม

นายสุทิน คลังแสง เป็น รมว.กลาโหม นายเศรษฐา ทวีสิน เป็น รมว.คลังอีกหนึ่งตำแหน่ง นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ เป็น รมช.คลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็น รมช.คลัง นายจักรพงษ์ แสงมณี เป็น รมช.ต่างประเทศ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เป็น รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายวราวุธ ศิลปอาชา เป็น รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี เป็น รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายไชยา พรหมา เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายอนุชา นาคาศัย เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรมว.คมนาคม นางมนพร เจริญศรี เป็น รมช.คมนาคม นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ เป็น รมช.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เป็น รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายนภินทร ศรีสรรพางค์ เป็น รมช.พาณิชย์ นายเกรียง กัลป์ตินันท์ เป็น รมช.มหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี เป็น รมช.มหาดไทย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ เป็น รมช.มหาดไทย

“ทวี” นอนมา รมว.ยุติธรรม

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็น รมว.ยุติธรรม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็น รมว.แรงงาน นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็น รมว.วัฒนธรรม พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ เป็น รมว.ศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล เป็น รมช.ศึกษาธิการ นายชลน่าน ศรีแก้ว เป็น รมว.สาธารณสุข นายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็น รมช.สาธารณสุข น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล เป็น รมว.อุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 1 ก.ย. พ.ศ.2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราช โองการ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

ให้ “กฤษฎา” พ้นปลัด ก.คลัง

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เว็บไซต์ราชกิจจา นุเบกษายังได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญพ้นจากตำแหน่งด้วยกระทรวงการคลังได้มีคำสั่งอนุญาตให้นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ลาออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. 2566 เพื่อไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พ้นจากตำแหน่งแล้ว บัดนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.2566 ประกาศ ณ วันที่ 1 ก.ย.2566

5 ก.ย.นายกฯนำ ครม.ถวายสัตย์ฯ

เมื่อเวลา 14.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงขั้นตอนการนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ ภายหลังได้รับพระราชโองการแต่งตั้งว่า แน่ชัดแล้วคือจะมีการถวายสัตย์ฯ วันที่ 5 ก.ย. เวลา 17.00 น. ส่วนการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา คาดว่าจะเป็น 8 ก.ย. หรือ 11 ก.ย. กำลังประสานงานอยู่ อาจเป็น 2 วัน คือวันที่ 8-9 ก.ย.หรือ 10-11 ก.ย. หลังจากนั้นจะเป็นการประชุม ครม.ครั้งแรก ขอให้อดใจรออีกนิด เมื่อถามว่า ขณะนี้คำแถลงนโยบายร่างเสร็จแล้วหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขณะนี้ร่างใกล้จะเสร็จแล้ว กำลังรวบรวมอยู่กับทุกพรรคการเมือง เมื่อถามว่าก่อนการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ได้นัดหมายพรรคร่วมมาประชุมกันก่อน เพื่อจัดทำร่างนโยบายหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่อยากใช้คำว่า ครม.นัดแรก แต่ใช้คำว่า ครม.นัดพิเศษ จะเป็นการนัดหมาย เพื่อพูดคุยกันเรื่องเตรียมการที่จะแถลงนโยบายในวันที่ประธานรัฐสภากำหนดมา คาดว่าจะเป็นวันที่ 6 ก.ย. ต้องรอเลขาธิการ ครม.ประสานมาที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ก่อน หลังจากที่มีการถวายสัตย์ฯ แล้ว จะมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับการเตรียมการเรื่องนโยบาย

โอ่ทำงานพรรคร่วมฉลุยทุกคนรู้ปัญหา

เมื่อถามว่าการประสานงานกับพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 11 พรรคมีอะไรหนักใจหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า “ไม่หรอกครับ เรื่องการประสานงานทุกพรรคและทุกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายมา ทุกท่านตระหนักดีถึงปัญหาเร่งด่วนของบ้านเมืองที่ต้องมีการแก้ไขกัน ฉะนั้น เราทราบกันดีอยู่ว่าเวลาไม่คอย ปัญหาถาโถมเข้ามาเยอะ เราทำงานกันทุกวัน พยายามหยิบยกปัญหาใหญ่ๆเข้ามา เพื่อแก้ไขให้ครบทุกปัญหาไม่มีความเป็นห่วงอะไร จากที่ได้คุยปัญหากับทุกรัฐมนตรี ท่านมีปัญหาความกังวลใจเรื่องบ้านเมืองอยู่”

รับ “พิชิต–ไผ่” ไม่ชัวร์ปมคุณสมบัติ

เมื่อถามว่ารายชื่อ ครม.ที่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมา เหตุใดไม่มีชื่อนายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โควตารัฐมนตรีของพรรค พปชร.ยังอยู่ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่ายังอยู่ ยังไม่ได้แต่งตั้งใครเข้ามาแทน เพราะนายไผ่ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องคุณสมบัติ ประเทศชาติจะได้เดินต่อไปได้ในแง่ของการแต่งตั้ง ครม. เพื่อจะบริหารแผ่นดินได้ ต้องขอบคุณ แล้วให้ท่านตรวจสอบคุณสมบัติให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกันกับกรณีของนายพิชิต ชื่นบาน ที่นายพิชิตยังยืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เพียงแต่มีข้อติงมาเยอะ นายพิชิตจึงไม่อยากทำให้ ครม.ของเราลำบากใจ ต้องขอขอบคุณท่าน

ปลอบใจยังเก็บเก้าอี้เอาไว้ให้

เมื่อถามว่าความไม่แน่นอนเรื่องคุณสมบัติ หากมีการเสนอชื่อเข้าไปใหม่ ยังมีสิทธิ์ใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า แน่นอนเราก็ยังเก็บที่ไว้ให้อยู่ เมื่อถามว่า การเสนอชื่อรัฐมนตรีเพิ่มเติมจะรอพร้อมกับการปรับ ครม.ครั้งใหม่ หรือจะเสนอเข้าไปเลย นายเศรษฐา ตอบกลับแบบหยอกล้อกับสื่อว่า “ใจเย็นๆ นิดหนึ่ง” เมื่อถามว่านายกฯ จะเข้าพักที่ทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า “เดี๋ยวขอไปดูก่อนครับ ต้องขอเข้าไปดูด้านในก่อน ตามความเหมาะสม ผมมีความกังวลเรื่องของพื้นที่ แต่หากต้องนอนทำเนียบจริงๆ คงไม่ต้องปรับปรุงอะไร จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้สิ้นเปลืองงบประมาณอะไรมากมาย ขอเอาเรื่องงานเป็นหลักครับ”

จ่อลุยงานอินเตอร์ร่วมประชุมยูเอ็น

เมื่อถามว่าได้ตอบรับการประชุมเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น)
ครั้งที่ 78 ระหว่างวันที่ 18-26 ก.ย.หรือไม่นายเศรษฐาตอบรับว่า “ครับ คิดว่าจะไปครับจะออกเดินทางคืนวันที่ 18 ก.ย. และเริ่มภารกิจในวันที่ 19 ก.ย. ทั้งนี้ยังมีรัฐมนตรีอีกหลายคนไปด้วย เช่น นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รมว.ต่างประเทศจะไปด้วย ส่วนการประชุมอาเซียน (4-7 ก.ย.) ไม่ทัน”

ทำเนียบฯพร้อมรับ ครม.ใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่ได้เตรียมความพร้อมในส่วนต่างๆแล้ว สำหรับ ครม.เศรษฐา 1 อาทิ กองยานพาหนะ ได้นำรถประจำตำแหน่งทั้งของนายกฯ และรัฐมนตรี เข้าตรวจเช็กสภาพหลังมีการส่งมอบคืนเรียบร้อยแล้ว โดยได้นำไปจอดไว้ที่บ้านพิษณุโลก ขณะที่ตึกไทยคู่ฟ้าซึ่งเป็นที่ทำงานของนายกฯ และเลขาธิการนายกฯ ทำความสะอาดเตรียมความพร้อมแล้วเช่นกัน รอเพียงการนำเฟอร์นิเจอร์เข้ามา รวมถึงบ่ายวันที่ 5 ก.ย.จะมีการถ่ายรูปและจัดทำบัตรประจำตัวของนายกฯ และ ครม. ก่อนที่ ครม.จะเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่เวลา 17.00 น. สำหรับการประชุม ครม.นัดพิเศษ เพื่อจัดทำนโยบายรัฐบาลแถลงต่อสภา ประชุมที่ห้อง 501 ตึกบัญชาการ 1

สภาฯรับแจ้ง รบ.ขอเปิดเวที 11 ก.ย.

วันเดียวกัน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวถึงวันแถลงนโยบายรัฐบาล “เศรษฐา 1” ต่อรัฐสภาว่า ทราบจากเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่า นางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี แจ้งว่าอยากได้วันแถลงนโยบายรัฐบาลเป็นวันที่ 11 ก.ย. หากกำหนดเป็นวันที่ 8 ก.ย. อาจจะไม่พร้อมถ้าจะประชุมวันดังกล่าวต้องส่งเอกสารนโยบายรัฐบาลมายังสภาตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย. เนื่องจากสภาต้องออกหนังสือนัดสมาชิกล่วงหน้า 5 วัน ดังนั้นจะนัดประชุมวิป 3 ฝ่าย เพื่อเตรียมความพร้อมในวันที่ 7 ก.ย.เวลา 14.00 น. เพื่อหารือกำหนดวันแถลงนโยบายรัฐบาลอีกครั้ง

“หมอมิ้ง” ถกพรรคร่วมฯวางนโยบาย

วันเดียวกัน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) เมื่อวันที่ 1 ก.ย. นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ในฐานะประธานกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย (พท.) และว่าที่เลขาธิการนายกฯ ได้เชิญตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลเข้าหารือ เกี่ยวกับการจัดทำร่างแถลงนโยบายของรัฐบาล โดยพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค โดยพรรค รทสช. เน้นนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน สอดคล้องกับ 4 รัฐมนตรีของพรรคคือกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง ประกอบด้วยนโยบายการนำเข้าพลังงานน้ำมันเสรี เพื่อแก้ปัญหาราคาพลังงานแพง การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเสรี เพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชน และสานต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ส่วนนี้จะนำเข้าที่ประชุม สส.พรรค รทสช.ด้วย

“เสี่ยนิด” ตั้งวงรับฟังวินมอเตอร์ไซค์

เมื่อเวลา 13.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง พร้อมนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกฯ ให้การต้อนรับตัวแทนผู้ให้บริการรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างในกรุงเทพมหานคร กว่า 100 คน นำโดยนายเฉลิม ช่างทองมะดัน นายกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย เพื่อพูดคุยประเด็นปัญหาการให้บริการรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง การเข้าถึงการใช้บริการของประชาชนผ่านแอปพลิเคชันและราคาค่าน้ำมันที่สูงขึ้น โดยนายเศรษฐากล่าวว่า ทราบกันดีวินมอเตอร์ไซค์เดือดร้อน รัฐบาลมีภารกิจเยอะตั้งแต่รับตำแหน่งอย่างไม่เป็นทางการ ได้เดินทางรับฟังปัญหามาตลอด วันนี้มาคุยกับวินมอเตอร์ไซค์จึงอยากบอกว่า เราให้ความสำคัญ เพราะถือเป็นเส้นเลือดฝอย เป็นตัวเชื่อมให้เศรษฐกิจพัฒนาไปได้ หากถูกเอารัดเอาเปรียบ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องดูแล

ตัวแทนชง 5 ข้ออัปเกรด จยย.รับจ้าง

นายเฉลิมกล่าวว่า พวกเราต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาชีพ และสวัสดิการทางสังคม มีหลายอย่างที่อยากเสนอให้รัฐบาลสนับสนุน ทั้งการสนับสนุนการใช้รถจักรยานยนต์แบบไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อต่อสู้กับแพลตฟอร์มต่างประเทศที่ไม่เป็นธรรม หากรัฐเพิกเฉยจะส่งผลกระทบทั้งผู้ประกอบอาชีพ ผู้โดยสาร และผู้ใช้ถนนทั่วไป จึงมีข้อเรียกร้องเชิงนโยบาย 5 ประเด็น คือจัดระเบียบรถจักรยานยนต์สาธารณะให้มีจุดจอดรถที่ชัดเจนสวยงาม มีสาธารณูปโภคพื้นฐานเข้ามาดูแลผู้ประกอบอาชีพ เปิดให้มีการซื้อขายสิทธิ์ขับรถจักรยานยนต์รับจ้างอย่างถูกต้อง ให้ผู้มีอายุเกิน 60 ปีประกอบอาชีพได้ต่อ หากไม่กระทบผู้โดยสาร สนับสนุนกองทุนเพื่อประกอบอาชีพ พัฒนาการประกอบอาชีพให้เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ สนับสนุนให้ใช้จักรยานยนต์พลังงานทดแทน เพื่อลดรายจ่ายด้านเชื้อเพลิงและรักษาสิ่งแวดล้อม สนับสนุนแอปพลิ เคชันของจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะให้มีโอกาสแข่งขันกับเอกชนและการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ เช่น กำหนดเขตประกอบอาชีพที่ชัดเจน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตส่งเสริมศักยภาพการแข่งขัน เพิ่มพูนประสิทธิภาพการขนส่งที่เหมือนเส้นเลือดฝอยของเมือง

นายกฯรับคุย ธ.ออมสินช่วยเข้าถึงทุน

นายเศรษฐากล่าวว่า จุดจอดวินจักรยานยนต์ มีหน่วยงานเกี่ยวข้องมาก ทั้ง กทม. กระทรวงคมนาคม ตำรวจ เห็นใจไม่มีจุดให้บริการเป็นจุดเดียวเพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลต้องคอยอำนวยความสะดวก ตนทราบปัญหาดี ส่วนอายุเกิน 60 ปีแก้ไม่ยาก แต่ต้องตรวจสุขภาพให้ทำงานได้ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทั้งการซื้อรถมอเตอร์ไซค์ได้และสวัสดิการของคนที่เลิกอาชีพ ต้องมีประกันสังคมมาช่วยเหลือหรือไม่ ต้องดูให้ครบทุกภาคส่วน การเข้าถึงแหล่งทุนจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จะคุยเป็นพิเศษให้ธนาคารออมสินมาดูแลการกู้เงินซื้อรถมาประกอบอาชีพ แอปพลิเคชันที่ใช้เรียกรถ ต้องมีแอปที่ทุกคนใช้ได้หมด ไม่ให้ผู้ประกอบการเสียเปรียบแอปจากต่างประเทศ หากมีแอปพลิเคชันกลางที่ราคากลางไม่เอาเปรียบ บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมจะเป็นเรื่องดี อยากให้มีเจ้าภาพหน่วยงานเดียวมาแก้กฎหมาย

โอ๋ให้ความสำคัญ–ขอโอกาสทำงาน

นายเศรษฐากล่าวอีกว่า อนาคตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามีวิธีการทำหลายแบบ หากต้องซื้อรถใหม่จะก่อภาระหนี้สิน จะไปคุยว่ามีวิธีการไหนหรือไม่ที่ไม่ต้องซื้อรถ แต่ให้ใช้รถแล้วแบ่งรายได้กัน จะได้ไม่ต้องลุงทุน เราไม่ต้องคอยทุกเรื่องอะไรช่วยกันได้เราจะทำทันที อย่างเรื่องพัฒนาแอปพลิเคชันจะไปตามเรื่องตามที่ผู้ประกอบการระบุ ได้คุยกับจุฬาลงกรณ์ไว้แล้วว่าเรื่องอยู่ตรงไหน ยืนยันเราเห็นความสำคัญฤดูหาเสียงหมดแล้ว จะแก้ปัญหาจริงจัง ขอความกรุณาเราทราบซึ้งถึงความเหน็ดเหนื่อย ความท้อ ขอให้เวลาเรานิดนึง อยากขอโอกาสให้ผู้บริหารและข้าราชการ ได้ทำงาน

“สุริยะ” ดันตั้ง คกก.ให้นายกฯร่วม

ขณะที่นายสุริยะกล่าวว่า นายกฯให้ความสนใจอย่างมากกับผู้ประกอบการรถสาธารณะ รัฐบาลอยากยกระดับให้ทุกอาชีพมีรายได้เพิ่ม และจากการรับฟังปัญหาของมอเตอร์ไซค์รับจ้างเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง จึงเสนอนายกฯให้ตั้งคณะกรรมการ และให้นายกฯเข้ามาอยู่ในนี้ด้วย จะได้เข้าร่วมตลอด หาปัญหาที่แท้จริง เมื่อมีความชัดเจนจะได้เร่งแก้ปัญหาได้ทันที

“สุทิน” พบ “บิ๊กแอ๊ด” ปรึกษางานมั่นคง

นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ได้เดินทางเข้าพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ที่บ้านพัก เพื่อขอคำปรึกษาและคำแนะนำงานด้านความมั่นคง โดย พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้ให้กำลังใจและยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่ พร้อมอวยพรให้โชคดีมีชัยทำงานราบรื่น บอกให้ทำตามนโยบายพรรคแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ต้องเร่งรัด แต่สิ่งไหนที่สามารถเร่งรัดได้ก็เร่งรัดไป ให้เกียรติกองทัพ ส่วนจะเชิญมาเป็นที่ปรึกษาหรือไม่ ขอดูในระเบียบการก่อน หากมีอะไรจะปรึกษาท่านอยู่แล้ว และวันที่ 4 ก.ย.ยังมีนัดกับ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม จากนั้นจะขอเข้าพบ พล.อ. เชษฐา ฐานะจาโร อดีต ผบ.ทบ. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีต ผบ.ทบ.และอดีตนายกฯ พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรอง ผบ.ทบ.ตามลำดับ

“ไชยา” ชูเอาน้ำไว้ในนา ป่าไว้ในบ้าน

นายไชยา พรหมา รมช.เกษตรฯ พรรค พท.ให้สัมภาษณ์ภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรีว่า ตอนนี้รัฐมนตรีว่าการยังไม่ได้แบ่งงานแน่ชัดว่าจะให้ดูแลในส่วนไหน แต่สิ่งที่อยากเข้าไปทำงานพัฒนาความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกร อยากใช้คำว่า “เอาน้ำไว้ในนา เอาป่าไว้ในบ้าน” ความหมายคือเกษตรกรต้องมีน้ำไว้ทำการเกษตรไม่ว่าจะเป็นน้ำบนดิน
หรือน้ำใต้ดิน ภาวะน้ำแล้งต้องหมดไป การชลประทานต้องดีขึ้น ส่วนการเอาป่าไว้ในบ้าน อยากส่งเสริมการปลูกป่าในครัวเรือน ที่ได้ทั้งเรื่องคาร์บอนเครดิตของประเทศและประโยชน์ทางธุรกิจที่ประชาชนขายไม้มีค่าได้

ดันหลังข้าวไทยสู้บนเวทีตลาดโลก

นายไชยากล่าวอีกว่า เรื่องประมง ปศุสัตว์ พืชไร่ ต้องยกระดับให้เกษตรกรนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในการประกอบอาชีพ เช่น การพยากรณ์สภาพดินฟ้า ต้องมีความแม่นยำมากขึ้น เพื่อให้เกษตรกรรู้ก่อนว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร จะได้เตรียมทำการเกษตรให้เหมาะกับสภาพอากาศ ตรงนี้กรมการข้าวที่เรามีอยู่ต้องเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีพันธุ์ข้าวที่ทนแล้งมากขึ้น ทนน้ำมากขึ้น เหมือนที่ประเทศคู่แข่งทางตลาดข้าว ต่างเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวกันแล้ว เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และที่สำคัญจะได้ลดปัญหานาล้ม ชีวิตเกษตรกรจะได้ดีขึ้น

“ทิม” ฝาก รบ.รักษาสัจจะพูดไว้ต้องทำ

ช่วงเช้า ที่ จ.ระยอง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ลงพื้นที่ช่วยนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัคร สส.ระยอง พรรค ก.ก.หาเสียงเลือกตั้งซ่อม เขตเลือกตั้งที่ 3 โดยนายพิธา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการโปรดเกล้าฯ ครม.ว่า อยากฝากไว้อยากจะให้รักษาสัจจะตามที่หาเสียงกับประชาชนไว้ การแถลงนโยบายประมาณ วันที่ 8-9 ก.ย. คงจะเห็นว่าเสนอนโยบายอย่างไรบ้างต้องทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ไม่อย่างนั้นวิกฤติ ศรัทธาจะเกิดขึ้น ศรัทธาเกี่ยวกับการเมือง ศรัทธาเกี่ยวกับรัฐสภา ศรัทธาเกี่ยวกับการทำงานการเมืองของประชาชนที่คิดว่าจะไปเลือกทำไม จะมีดีเบตกันไปทำไม เพราะไม่รู้ว่าที่พูดไปไม่เกิดขึ้นจริง ตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญ ความรับผิดชอบในคำพูด ส่วนฝ่ายค้านจะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก ตรวจสอบตรงไปตรงมา เข้มข้น ยึดผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้งแน่นอน

ไม่มีเวลาฮันนีมูน ต้องรีบทำงาน

นายพิธากล่าวอีกว่า ขณะนี้ช้ามาตั้ง 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. อย่างที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีต ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย เคยพูดไว้ว่าไม่มีเวลาฮันนีมูนกัน ต้องรีบทำงานอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ สัญญาประชาคมที่แต่ละพรรคทำร่วมกันไว้แล้ว ไม่น่าจะเป็นข้ออ้างได้ว่าเป็นพรรคร่วมแล้วทำไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจร่วมรัฐบาลกัน ต้องดูก่อนว่านโยบายจะอย่างไร ขอให้เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เอาสัจจะเป็นที่ตั้ง ถ้าเอา 2 อย่าง เป็นที่ตั้ง คิดว่ารัฐบาลจะทำงานได้อย่างดี ขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลรักษาสัจจะให้ได้ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง

ยังมีเวลาตัดสินใจเรื่องผู้นำฝ่ายค้าน

นายพิธายังกล่าวถึงการนัดพูดคุยกับพรรคฝ่ายค้านแบ่งงานกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รวมถึงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านจะมีเป้าหมายไว้อย่างไรว่า ตนทำงานนอกสภา เป็นส่วนใหญ่แบบนี้จนกว่าที่จะได้รับสิทธิคืนมาและตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 ระบุว่า ต้องเป็นหัวหน้าพรรคเสียงที่มีมากที่สุดของฝ่ายค้าน แต่ปัญหาตนถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่วนตัวไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งนี้ ยังไม่รีบตัดสินใจ มีเวลาอีกหลายเดือนกว่าที่ตนจะได้กลับไป ส่วนพรรคอื่นก็ขอไม่พาดพิง ถ้าอ่านตามรัฐธรรมนูญว่าชัดเจนว่าต้องเป็นพรรคที่มี สส.อันดับหนึ่ง หมายความว่าหากตนกลับไปต้องไหลมาที่ตนที่เป็นพรรคอันดับหนึ่งตามรัฐธรรมนูญ และอยากให้นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ตั้งใจทำงานในตำแหน่งในช่วงเวลาที่ตนยังไม่ได้กลับเข้าไป อาจจะ 4-6 เดือน ยังมีเวลาพอที่จะให้นายปดิพัทธ์ได้ทำหน้าที่รองประธานสภาอย่างที่หวังไว้ ยังมีเวลาอยู่และยังรอได้

“บัญญัติ-กัลยา” ช่วย “บัญญัติ” ขอเสียง

ด้านนายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายนิพนธ์ บุญญามณี และคุณกัลยา โสภณพนิช รักษาการรองหัวหน้าพรรค ปชป. นายสุทัศน์ เงินหมื่น อดีต สส. พรรค ปชป.ร่วมลงพื้นที่ อ.แกลง จ.ระยอง เพื่อช่วยรณรงค์หาเสียงให้กับ นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม สส.ระยองเขต 3 พรรค ปชป.เบอร์ 2 โดยนายบัญญัติกล่าวว่า น่าห่วงวันนี้ที่ประชาชนเบื่อการเมือง เพราะเข้าใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ เลยไม่อยากจะไปใช้สิทธิใช้เสียง ขอยืนยันว่าการเมืองเกี่ยวข้องกับพี่น้องประชาชนโดยตรง แต่ที่ทำให้เบื่อหน่ายคือการที่พี่น้องประชาชนไม่ได้เลือกผู้แทนจาก 2 ปัจจัยสำคัญคือ 1.คนที่รู้ เข้าใจปัญหา และ 2.คนที่ขยันติดตามการแก้ไขปัญหา 2 ปัจจัยนี้มีอยู่ครบถ้วนในตัว นพ.บัญญัติ พี่น้องเขต 3 จะได้ผู้แทนของพี่น้องประชาชนจริงๆ ขอฝากพี่น้องประชาชนได้โปรดให้การสนับสนุนหมอบัญญัติ เพื่อให้ได้กลับเข้าไปทำหน้าที่ สส.ตามเดิม

โวผลงานเพิ่มคุณภาพชีวิตคนระยอง

ด้านนายนิพนธ์กล่าวว่า หมอบัญญัติเป็นคนที่ขยัน เป็นภาพจำที่โดดเด่นในการทำหน้าที่ได้ดีทั้งในและนอกสภา เมื่อครั้งที่ตนเป็น รมช.มท. หมอบัญญัติ ได้มีการประสานให้ตนลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาช้างป่าบุกรุกทำลายพืชผลทางการเกษตร รวมทั้งการจัดทำมาตรการเชิงรุกเพื่อลดอุบัติเหตุในจังหวัดระยอง ที่เคยมียอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนสูงที่สุดของภาคตะวันออก และอีกหลายๆเรื่องที่เป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแสดงให้พี่น้องชาวระยองได้เห็นความตั้งใจทำงาน ความเข้าใจปัญหาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนระยองทั้งจังหวัดที่คุณหมอบัญญัติได้ตั้งใจจริง

“ชัชชาติ” จ่อถก รบ.แก้สารพัดปัญหา

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ให้สัมภาษณ์ถึงแผนการเข้าพบรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อหารือแนวทางการทำงานร่วมกันว่า เมื่อมีโอกาสจะประสานรัฐบาลชุดใหม่ ขอปรึกษาหารือการทำงานร่วมกัน เข้าใจว่ารัฐบาลชุดใหม่คงภารกิจมาก จึงเตรียมลิสต์ไว้แล้วว่าจะหารือประเด็นใดบ้าง มีหลายประเด็นที่เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งเรื่องการจราจร ปัญหารถติดที่หลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง เรื่องรถไฟฟ้าบีทีเอส ค่าโดยสารและภาระหนี้ หนึ่งนโยบายสำคัญที่ กทม.ต้องนำเข้าไปหารือ และคงสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลคือการผลักดันให้ กทม.เป็นศูนย์กลางของบริษัทข้ามชาติ เพราะเศรษฐกิจคือหัวใจของเมือง เพราะเศรษฐกิจคือการสร้างเมือง สร้างรายได้ ขณะที่เมืองคือตลาดแรงงาน การที่คนมาอยู่ในเมืองเพราะมีงาน จะมีงานได้ต้องดึงบริษัททั่วโลกให้มาที่ กทม. เพื่อให้เกิดการจ้างงาน หากมีบริษัทที่มีคุณภาพจากทั่วโลกมาอยู่ในไทยจะเป็นการสร้างงาน ครอบคลุมไปถึงผู้ที่มีห้องให้เช่า คนขับรถแท็กซี่ ร้านอาหาร เกษตรกร ผลที่ได้จะเป็นห่วงโซ่การบริโภคที่จะลงไปถึงรากหญ้าได้

ฝันปั้น กทม.ศูนย์กลางการลงทุน

นายชัชชาติกล่าวอีกว่า ปัจจุบันการลงทุนเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่การลงทุนในภาคอุตสาหกรรม แต่เป็นการลงทุนในภาคบริการหรือการ service การเงิน start up และธุรกิจ Innovation ส่วนใหญ่จะอยู่ในเมือง จึงต้องร่วมกับรัฐบาล หรือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน BOI (Board of Investment :BOI ) ดึงดูดนักลงทุน ที่ผ่านมา กทม.ได้หารือกับหอการค้าต่างประเทศมาตลอด และหารือกับนักลงทุน นักธุรกิจชาวต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทย ได้สอบถามปัญหาและความต้องการ เพื่อให้เห็นว่า กทม.จริงใจในการดูแลนักลงทุน มีโครงการจะทำเป็น One Stop Service อำนวยความสะดวกนักลงทุน และกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ ต้องขอโอกาสพูดคุยความเป็นไปได้กับรัฐบาล เพื่อดึงรายได้เข้ากรุงเทพฯให้ได้ ปัจจุบัน กทม.น่าอยู่มาก มีปัจจัยหลายอย่างเหมาะสม ทั้งสถานที่ตั้งออฟฟิศราคาไม่แพง มีโรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลที่รองรับบุคลากรของบริษัทข้ามชาติได้ ถือว่าเป็นโอกาสนาทีทองของเรา

“ดวงฤทธิ์” จัดให้กิจกรรมปาขี้

วันเดียวกัน ที่ Mirror Art ซอยแจ้งวัฒนะ 1 แยก 6 นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและนักออกแบบ สมาชิกกลุ่มแคร์ ที่เคยประกาศว่า ถ้าเพื่อไทยจับมือ กับ พปชร. จะยอมให้เอาขี้ปาหัว ซึ่งสุดท้ายพรรคเพื่อไทย ก็ตั้งรัฐบาล 11 พรรค หนึ่งในนั้นคือ พปชร.จึงจัดกิจกรรมให้ปาขี้ เพื่อรับผิดชอบต่อสิ่งที่สื่อสารออกไป และรักษาคำพูด โดยบรรยากาศบริเวณลานจอดรถของ Mirror Art ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทาง ทีมงานของนายดวงฤทธิ์ได้นำผ้าใบสีขาวมาปูพื้น และเตรียมอุจจาระไว้ จากนั้นเริ่มกิจกรรมดังกล่าวในเวลา 15.14 น. ให้เวลาในการปาอุจจาระ 11 นาที พร้อมเตรียมขี้วัวไว้ปา 4 กก.

สวมหน้ากาก “บิ๊กป้อม” ร่วมวง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนทำกิจกรรมดังกล่าว ปรากฏว่า มีผู้ชายวัยกลางคน 1 ราย ได้เตรียมอุจจาระ ของตัวเองมาเพื่อปาใส่นายดวงฤทธิ์ แต่ทีมงานของนายดวงฤทธิ์เข้าเกลี้ยกล่อมและห้ามปราม จึงยอมเปลี่ยนใจ จากนั้นจึงเริ่มกิจกรรม โดยนายดวงฤทธิ์ สวมชุดกันเปื้อนแขนยาวสีขาว มิดชิดถึงเท้า สวมถุงมือ ยาง และสวมหน้ากากกันสารเคมี นั่งคุกเข่าในจุดที่ ทีมงานเตรียมไว้ ก่อนมีมวลชนประมาณ 5 คน สับเปลี่ยน หมุนเวียนกันปาอุจจาระ ระหว่างทำกิจกรรมมีชายสูงอายุสวมเสื้อสีแดง โผเข้ามากอดให้กำลังใจพร้อมกับบอกว่า ถ้าจะปานายดวงฤทธิ์ ให้ปาตัวเองดีกว่า ก่อนที่ทีมงานนายดวงฤทธิ์จะพาตัวบุคคลดังกล่าวออกจากลานกิจกรรม นอกจากนี้ ยังมีบุคคลปริศนาสวมหน้ากากยางเป็นรูปคล้ายใบหน้า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พปชร.ร่วมปาอุจจาระด้วย

“หมอทศพร” โผล่ให้กำลังใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมมีประชาชน จำนวนหนึ่ง ร่วมกันเรียกร้องให้นายดวงฤทธิ์กล่าวคำขอโทษ แต่นายดวงฤทธิ์ไม่ได้ทำตามคำเรียกร้อง ก่อนเข้าชำระล้างร่างกายแล้วขึ้นรถพยาบาลออกไป ทันที จากการสังเกตยังพบว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ พรรค พท.ได้มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย โดย นพ.ทศพรกล่าวว่า ตั้งใจเดินทาง นำรูปวาดของนายดวงฤทธิ์ มาให้กำลังใจ และดูแลความปลอดภัย ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว แต่ไม่สามารถจะห้ามปรามนายดวงฤทธิ์ เปรียบเสมือนลูกผู้ชายตัวจริงได้

“หมออ๋อง” ถก สสจ.จบโพสต์โชว์เบียร์

เมื่อเวลา 12.00 น. นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ และ สส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 1 ก.ย. ได้เดินทางเข้าพบ นพ.ไกรสุข เพชรบูระณิน นายแพทย์ สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) พิษณุโลก เพื่อปรึกษาหารือ ข้อกฎหมายกรณีโพสต์คราฟต์เบียร์ผ่านสื่อโซเชียล โดยมีนายณฤทธิ์ กันทวรรณ์ นิติกรชำนาญการพิเศษ สำนักงานสาธารณสุขพิษณุโลก และนายกสมาคมนักกฎหมายสาธารณสุขเข้าร่วมรับฟังด้วย โดยได้รับ ทราบว่า มีโทษปรับขั้นต่ำ 50,000 บาท กรณีทำความผิด ครั้งแรก เบื้องต้นยังไม่ได้จ่ายค่าปรับ ต้องรอผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการเปรียบเทียบจังหวัดก่อน

ทำผิดครั้งแรกแค่ปรับแล้วคดีสิ้นสุด

ด้านนายนฤทธิ์เปิดเผยว่า กรณีมีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับ สสจ.พิษณุโลก ว่า นายปดิพัทธ์โพสต์โฆษณาคราฟต์เบียร์ผ่านสื่อโซเชียล สำนักงาน สสจ. พิษณุโลก โดยกลุ่มกฎหมายได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ตรวจสอบเอกสาร คลิปวิดีโอ และภาพที่แคปจากเฟซบุ๊ก นายปดิพัทธ์ อินสตาแกรม และ tiktok เบื้องต้นต้องตรวจสอบผลิตภัณฑ์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต และติดต่อบริษัทผู้ผลิตคือ Thaispirit Industry อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทราและตัวแทนจำหน่ายใน จ.พิษณุโลก Phitsunulok Brewing เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ “PHITLOK SESSION IPA” 5 เปอร์เซ็นต์ แอลกอฮอล์ พฤติกรรมดังกล่าวจึงเข้าลักษณะโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผ่านสื่อโซเชียล เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฐานโฆษณา นายปดิพัทธ์ได้มาพบ สสจ.ยินยอมให้ดำเนินการตามกฎหมาย มีโทษตามมาตรา 43 อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถือว่ากระทำความผิดครั้งแรกจะมี โทษปรับ 50,000 บาท กฎหมายให้อำนาจคณะอนุกรรมการเปรียบเทียบจังหวัด ประกอบด้วย อัยการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดและนายแพทย์ สาธารณสุขจังหวัด เป็นผู้พิจารณา เมื่อผู้กระทำความผิด ได้เสียค่าปรับแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา