เส้นทางชีวิต “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” เจ้าพ่ออ่างรวยพันล้าน สู่นักแฉอันโด่งดัง ตั้งแต่ส่วยตำรวจ ทุนจีนสีเทา คัดค้านกัญชาเสรี พร้อมขอใช้ช่วงชีวิตสุดท้าย “แฉเพื่อชาติ” เปิดโปง “เศรษฐา”
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เกิดเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ปัจจุบันอายุ 61 ปี เคยเป็นอดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ (สส.) และยังเป็นอดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย
สมรสครั้งแรกกับ เคต ดับเบิลยู. จอห์นสัน มีบุตรด้วยกัน 2 คน ครั้งที่สองกับงามตา (สกุลเดิม สุขนิรันดร์) มีบุตรด้วยกัน 4 คน และมีบุตรนอกสมรสที่รับรองแล้วกับสุรัชดา แววศรี อีก 1 คน รวมมีบุตรทั้งหมด 7 คน นอกจากนี้ยังรับ ชาวดี เชอร์ม็อค อดีตนักแสดงหญิง เข้าเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบ
ชูวิทย์ เรียนจบอะไร
สำหรับประวัติการศึกษา นายชูวิทย์ เรียนจบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนสหพาณิชย์ มัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ส่วนปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยซานดิเอโกแต่ไม่สำเร็จการศึกษา
...
ชูวิทย์เป็นคนที่ไหน
ความจริงแล้วนายชูวิทย์ เกิดที่สกลนคร แต่มาเติบโตที่เยาวราช บิดามารดาเป็นคนจีน ส่วนครอบครัวทำธุรกิจนำเข้าและผลิตเสื้อผ้ายีนส์ ปัจจุบันมีนายเลิศชัย กมลวิศิษฎ์ พี่ชายเป็นคนดูแลกิจการ
ชูวิทย์มีธุรกิจอะไรบ้าง
หลังจากกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกา ชูวิทย์หันมาทำธุรกิจของตัวเองเช่น สร้างหมู่บ้านจัดสรร และเปิดอาบอบนวดชื่อ วิคทอเรีย ซีเคร็ท และขยายกิจการจนเป็นเจ้าของอาบอบนวด 6 แห่ง ในเครือเดวิสกรุ๊ป และก่อตั้งมูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์ ให้การสนับสนุนก่อสร้างป้อมที่พักเจ้าหน้าที่ตำรวจตามแยกไฟแดง
นอกจากนี้ ยังเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ภาติฌาน จำกัด, บริษัท ซี.ดี แลนด์ จำกัด, เจ้าของ บริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด, กรรมการบริษัทสุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ และ ประธานบริษัท เดวิสกรุ๊ป ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด และยังเป็นเจ้าของโรงแรม The Davis Bangkok Hotel ที่ตั้งอยู่บนถนน สุขุมวิท 24 บนพื้นที่ขนาด 7 ไร่ มูลค่าหลายพันล้าน อีกทั้งยังเป็นเจ้าของที่ดินขนาด 7 ไร่ ระหว่างถนนสุขุมวิท ซอย 8 และ ซอย 10 ที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสวนชูวิทย์ และมีมูลค่ามากกว่า 5,500 ล้านบาท
ที่มาฉายา “จอมแฉ”
เนื่องจากนายชูวิทย์ประกอบธุรกิจอาบอบนวด เกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และในกลางปี 2546 นายชูวิทย์ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ จนมีข่าวใหญ่ครึกโครม จากนั้นไม่กี่วันต่อมาก็ปรากฏตัวข้างถนนย่านชานเมืองแห่งหนึ่งด้วยสภาพอิดโรย และได้แฉว่าถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งอุ้มตัวไป จากนั้นก็เริ่มแฉพฤติกรรมการทุจริตต่างๆ ของตำรวจมากขึ้น อาทิ การรีดไถ การรับส่วย ด้วยท่าทีที่ดุดัน จนได้ฉายา “เสี่ยอ่าง” หรือ “จอมแฉ”
ชีวิตเส้นทางการเมือง
นายชูวิทย์ได้ขายหุ้นในกิจการอาบอบนวดทั้งหมด เพื่อมาลงสมัคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในปี 2547 แม้ไม่ได้รับการเลือกตั้งแต่ก็ได้คะแนนเป็นอันดับ 3 จากนั้นได้ลงสมัครเลือกตั้งทั่วไปปี 2548 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย แต่ต่อมาถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยไม่ครบ 90 วัน จึงพ้นจากความเป็น สส.
ต่อมาในปี 2549 นายชูวิทย์ได้ลาออกจากพรรคชาติไทย เพื่อลงสมัครสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร แต่ก็ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพิกถอนสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยระบุว่า ยังไม่พ้นจากสถานภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบกำหนด 1 ปี ก่อนที่จะลงสมัครสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมาย
จากนั้นในปี 2551 ได้มาลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกครั้ง และตั้งพรรคสู้เพื่อไทย ต่อมาในปี 2553 ได้เปลี่ยนมาตั้งพรรครักประเทศไทย โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และประกาศว่า ขอเป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบรัฐบาล จนได้รับคะแนนเกือบ 1 ล้านเสียง และได้ สส.เข้าสภา ถึง 4 คน ซึ่งตลอดระยะเวลาทำงานด้านการเมืองนายชูวิทย์ ยังคงทำหน้าที่ “แฉ” อย่างต่อเนื่อง และยังเป็นผู้นำคลิปวิดีโอมาประกอบการอภิปรายในสภา จนได้ฉายา “เจ้าพ่อคลิป” ซึ่งการทำหน้าที่ฝ่ายค้านของนายชูวิทย์ ถือว่ามีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก มีการเปิดเผยข้อมูล บ่อนการพนัน สถานอบายมุข อันมีผลกระทบต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างมาก ก่อนที่จะหายจากบทบาททางการเมืองไปหลังจากยุบสภาเมื่อปี 2556
แฉคดีตู้ห่าวอันโด่งดัง
ต่อมาในปี 2565 นายชูวิทย์ กลับเข้าสู่วงการแฉ อีกครั้ง ด้วยการเปิดโปงขบวนการทุนจีนสีเทาอันโด่งดัง โดยเฉพาะเรื่องราวของเจ้าพ่อจีนเทา “ตู้ห่าว” หรือ ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ เจ้าของผับ “จินหลิง” ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับนักการเมือง ตำรวจ ผู้มีอิทธิพลในประเทศไทย จนนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการกวาดล้างธุรกิจผิดกฎหมายของชาวจีน และสามารถยึดอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายตู้ห่าวได้ถึง 8,560 ล้านบาท จนได้รับมอบเหรียญ “ยุติธรรมธำรง” จากกระทรวงยุติธรรม อีกทั้งยังเป็นผู้ส่งมอบเอกสารสำคัญ ให้นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
นอกจากนี้นายชูวิทย์ ยังเปิดโปงเครือข่าย “สารวัตรซัว” หรือ พันตำรวจโทวสวัตติ์ มุครสกุล อีกทั้งยังเป็นผู้ออกมาคัดค้านนโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทย ในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ปี 2566 จนเกิดการฟ้องร้องกับพรรคภูมิใจไทย
และล่าสุดออกมาแฉ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เรื่องการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษี จากการขายที่ดินทำเลทองในย่านสารสิน พร้อมเปิดใจว่าตนเองเป็นมะเร็งตับระยะที่ 3 ซึ่งต้องทำคีโมตลอด อาจมีชีวิตอยู่ได้แค่ 8 เดือนถึงปีครึ่ง จึงขอใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายออกมา “แฉเพื่อชาติ”