“อานนท์ นำภา” ชี้ สถานการณ์การเมืองเปลี่ยน คนเลือกถล่มโซเชียลมากกว่าลงถนน มองเพื่อไทยอาจมีเหตุผลบางอย่างอยากตั้งรัฐบาลเร็ว เชื่อ 10 ส.ค.นี้ “ทักษิณ” ยังไม่กลับไทยแน่นอน
วันที่ 3 สิงหาคม 2566 นายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้ให้ความเห็นกรณีที่พรรคเพื่อไทย ประกาศแยกทางกับพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงรวบรวมเสียงพรรคร่วมใหม่ ที่ไม่มีพรรคก้าวไกลว่า ก็ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าถ้าหากพรรคเพื่อไทยเองไม่ยอมปล่อยมือ หรือถีบพรรคก้าวไกลออกจากพรรคร่วมรัฐบาล โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็จะมีน้อยลง
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไรก็ตามก็ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย แต่ในส่วนเหตุผลทางการเมืองก็ต้องยอมรับว่าจะถูกผู้สนับสนุนพรรควิจารณ์พอสมควร พอพรรคเพื่อไทยเองก็หาเสียงไว้ชัดเจนว่าจะไม่จับมือกับ 3 ป. อย่างแน่นอน แม้จะมีการชี้แจงว่าทางพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลาออกจากพรรคไปแล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าพรรครวมไทยสร้างชาติก็ยังเป็นพรรคขั้วรัฐบาลเดิม
หากไปผลักพรรคก้าวไกลออกจากพรรคร่วม อาจจะต้องอาศัยมวลชนนอกสภาให้ออกมากดดัน สว. ให้มีการโหวตให้พรรคเพื่อไทย แต่ก็เป็นไปได้เพราะรอบที่แล้วก็มี สว. โหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพียงแค่ 13 เสียงเท่านั้น หรืออาจจะต้องรอถึง 10 เดือน เพื่อให้ สว. หมดวาระ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีความเป็นไปได้สูงที่ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล อาจจะมาจับมือกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่ต้องพึ่งเสียงของ สว.
แต่ส่วนตัวมองว่าตอนนี้ทางพรรคเพื่อไทยคงมีเหตุผลบางอย่างว่ารอไม่ได้จะต้องรีบจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด ประกอบกับมีการพูดคุยกับกลุ่มชนชั้นนำในประเทศว่าไม่อยากให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เผลอๆ อาจจะไม่ได้ทำหน้าที่ในฝ่ายค้านด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้มีคดีที่อาจจะต้องถึงขั้นยุบพรรครออยู่ถึง 2 คดีด้วยกัน โดยเฉพาะคดีมาตรา 112 ที่อาจจะต้องยุบพรรค และตัดสิทธิกรรมการบริการพรรคด้วย หากศาลตัดสินลามไปถึงว่า นโยบายการแก้ไขมาตรา 112 เป็นของพรรค ก็อาจจะลามไปถึง ส.ส. ทุกคนในพรรคเลยก็ว่าได้
...
ส่วนการรวมเสียงพรรคร่วมใหม่ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ สมการจะออกแบบไหนอันนี้ไม่ทราบ เพราะตอนหาเสียงก่อนเลือกตั้งทางนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ก็บอกว่าจะจับมือกับใครเป็นไปได้หมด ที่สำคัญอิทธิพลของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มีต่อ สว. ก็อาจจะเป็นเงื่อนไขสำคัญว่าอาจมีความจำเป็นที่ต้องจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะต้องยอมรับว่า สว. ทั้ง 250 คน มาจากการสรรหาของคณะรัฐประหารที่มีพลเอกประวิตร เป็นแกนนำ
“พอสถานการณ์การเมืองเป็นแบบนี้ มวลชนหลายๆ คนเลือกที่จะแสดงความคิดเห็นบนโลกโซเชียลมากกว่าลงถนน รวมถึงทางนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ก็ได้ประกาศยกเลิกการชุมนุมไปก่อน ทางทนายอานนท์ มองว่า ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะการที่มวลชนจะลงถนนมันต้องถึงจุดที่พีกจริงๆ แม้ตอนนี้จะเข้าเงื่อนไขว่าควรลงถนนเพราะถูกปล้นเสียงของประชาชนไป แต่อาจจะต้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน โดยคาดว่าในเดือนสิงหาคมนี้น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในสังคมไทย”
ส่วนการที่พรรคเพื่อไทยจะเข้าไปเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ทางทนายอานนท์ มองว่าเป็นเรื่องที่ยาก เพราะต้องยอมรับตามตรงการเงื่อนไขในการแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ซับซ้อน และต้องอาศัยเสียงของ สว. ด้วย รวมถึงพรรคร่วมใหม่ที่จะจับมือกัน ก็ไม่ได้มีนโยบายว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ และต้องยอมรับด้วยว่าเสียงของพรรคเพื่อไทยที่มี 141 เสียง ก็น้อยเกินไปที่จะกำหนดทิศทาง และมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ นั่นอาจจะมีปัญหาตามมาอีกจำนวนมากมาย
ส่วนเรื่องของนายทักษิณ ชินวัตร ที่มีกำหนดกลับไทยวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ส่วนตัวเชื่อว่ายังไม่กลับแน่นอน เพราะถ้าหากนายทักษิน จะกลับไทยก็ต่อเมื่อสถานการณ์ในประเทศพร้อม ถ้ายังเป็นแบบนี้ยังไงก็ยังไม่กลับ หรือต่อให้จัดตั้งได้โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำก็จะยังไม่กลับหากสถานการณ์ยังไม่นิ่งพอ เพราะถ้าหากกลับมาในสถานการณ์อย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ ก็จะมีมวลชนบางกลุ่มที่ไม่ชอบนายทักษิณ ออกมาเคลื่อนไหว หรือลงถนนอย่างที่เคยเป็น ดังนั้นก่อนที่จะกลับต้องเคลียร์ และเจรจาทุกอย่างให้จบ เนื่องจากกลับมาแล้วต้องอยู่ในเรือนจำ ก็เหมือนกับการเอาเสือไปไว้ในกรง