ข่าวเพลิงไหม้โกดังเก็บดอกไม้ไฟและพลุ ในตลาดมูโนะ อำเภอสุไหงโก–ลก จังหวัดนราธิวาส เขตติดต่อชายแดนกับ มาเลเซีย ที่กลายเป็นวินาศภัยร้ายแรงคร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 12 ราย บาดเจ็บกว่าร้อยราย อาคารบ้านเรือนพังพินาศนับร้อยหลัง น่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา แต่มีสาเหตุที่ซับซ้อน
รายงานข่าวระบุว่าสาเหตุของเพลิงไหม้ มีทั้งการประมาทเลินเล่อของเจ้าของโกดัง และของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ไม่เข้มงวดกวดขันในการเก็บรักษาวัตถุระเบิดเป็นตันๆ ที่ซุกซ่อนอยู่กลางชุมชน แม้จะมีชาวบ้านร้องเรียนก็เมินเฉย ทั้งเจ้าของโกดังและเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าของโกดังเคยถูกจับ แต่ไม่ได้รับโทษใดๆ
หนังสือพิมพ์ “ไทยรัฐ” รายงานข่าว โดยอ้างแหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง ระบุว่าธุรกิจการส่งออกพลุและดอกไม้ไฟ ในบริเวณชายแดนไทย–มาเลเซีย มีมูลค่ามหาศาล ชาวบ้านร้องเรียนไม่ได้ผล เพราะมีการจ่ายส่วยให้เกือบทุกหน่วย ตั้งแต่ 2 หมื่นบาทจนถึงหลักแสนต่อเดือน ทำให้กิจการส่วยรุ่งเรืองเฟื่องฟู
ตรงกับคำให้สัมภาษณ์ของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคก้าวไกล ที่ระบุว่าชาวบ้านเขารู้กันทั่วว่ามี “จ่า ฟ.” เป็นผู้เก็บส่วยในแต่ละเดือน และส่งต่อกันเป็นทอดๆ จนถึงผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่แค่ส่วยดอกไม้ไฟอย่างเดียว ยังมีส่วยสินค้าหนีภาษี ส่วยการค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติดและธุรกิจอื่นๆ
จึงไม่ต้องแปลกใจที่มีการ ปล่อยปละละเลย ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ให้ตั้งแหล่งเก็บวัตถุอันตราย ห่างจากชุมชนอย่างน้อย 20 กิโลเมตร เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งนราธิวาสเป็นจังหวัดชายแดนที่มีปัญหา ต้องรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ ส่วนรายละเอียดฟังได้จากคำอภิปรายของ สส.วิโรจน์ ในรัฐสภา ในวันที่ 3 สิงหาคม
...
ข้อกล่าวหาเรื่องการรับส่วยดอกไม้ไฟ และส่วยอื่นๆเป็นการตอกยํ้าอีกครั้งหนึ่ง ว่าการทุจริตคอร์รัปชันแพร่ระบาดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ระหว่างปี 2565 และ 2566 มีการทุจริตในวงราชการ กลายเป็นข่าวที่โด่งดังอย่างต่อเนื่อง เช่น การเรียกรับส่วยธุรกิจจีนสีเทา การเรียกรับสินบนจากวงการพนัน
การเรียกรับเงินจากวงการพนัน มีนายตำรวจระดับพลตำรวจตรี มีตำแหน่งเป็นผู้บังคับการตำรวจของจังหวัดใหญ่และโด่งดัง มีคำพูดที่เผยแพร่ตามสื่อต่างๆ กลายเป็นข่าวฮือฮา นั่นก็คือวาทะที่ว่า “เป้รักผู้การมากเท่าไหร่ให้เขียนมา” คดีนี้มีนายตำรวจกลายเป็นผู้ต้องหาหลายคน ข้อหาสำคัญคือรีดเงิน 140 ล้านบาท.