การตั้งรัฐบาลเที่ยวนี้ มีคำว่า ดีลลับ สลับขั้ว หลายกรรมหลายวาระ จาก ที่ 8 พรรคร่วมรัฐบาล มั่นอกมั่นใจว่า พิธา ลิ้ม เจริญรัตน์ จะต้องได้เป็นนายกฯคนที่ 30 ของประเทศไทยแน่นอนเพราะมีเสียง สส.ยกมือให้ 312 เสียง ไม่มีแตกแถว แต่ก็ไม่สามารถ ผ่านด่าน สว. 250 ไปได้ ด้วยเงื่อนไขเดียวคือ การแก้ไข ม.112 ซึ่งจุดอ่อนดังกล่าว ก้าวไกล ก็รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นอุปสรรคในการเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แต่ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไปเพราะเลี้ยวกลับไม่ได้ จะยกเลิกภารกิจก็ไม่ได้ เป็นการมัดมืดชกตัวเองของก้าวไกล จะไปโทษใครได้
ซึ่งมีวิธีเดียวที่จะผ่านด่านสำคัญตรงนี้ไปได้คือ การแก้รัฐธรรมนูญ ที่ ก้าวไกล เสนอให้มี การแก้ไข ม.272 ยกเลิกบทเฉพาะกาลให้ สว.ในการโหวตเลือกนายกฯในสภา ซึ่งไม่ใช่เพิ่งจะเสนอแก้กันตอนที่โหวตนายกฯรอบแรกไม่ผ่าน แต่พรรคการเมืองขอแก้กันตั้งแต่ยังอยู่ในสมัยประชุมสภาปกติแล้ว
ก็แก้ไม่สำเร็จ เพราะต้องใช้เสียง สว.สนับสนุน 84 เสียงถึงจะเสนอแก้ได้ แสดงว่าพรรคการเมืองก็รู้ดีว่า ต่อให้ได้เสียงข้างมากขนาดไหน ก็ไม่สามารถโหวตผ่านนายกฯได้ ถ้า สว.ไม่เห็นชอบ ยกเว้นว่า จะได้เสียงข้างมากจาก สส. 375 เสียง ขึ้นไปยกมือให้ ก็ไม่จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญ ม.272 ให้เมื่อยตุ้ม
พรรคการเมืองก็เลยต้องการ แลนด์สไลด์ เพื่อเป็นการ ปิดสวิตซ์ สว.ทางอ้อม ไม่ว่าการโหวตนายกฯจะเป็นพรรคใดเสนอก็ตาม ตราบใดที่ยังรวมเสียงข้างมากได้ไม่ถึง 375 เสียง ก็ยังไม่มีความมั่นใจว่า จะได้เสียงสนับสนุนในสภาให้เป็นนายกฯร้อยเปอร์เซ็นต์
ทีนี้บังเอิญว่า ก้าวไกล ก็ไม่แลนด์สไลด์ได้เสียงเกินกว่า 250 เสียง เพื่อไทย คาดว่าจะได้เกือบ 300 เสียง ก็ผิดเป้าไปเยอะ ก้าวไกล ได้มา 151 ที่นั่ง ยังขาดอีก 100 ที่นั่ง เพื่อไทยได้มา 141 ขาดอีก 110 ที่นั่ง ก็เลยกลายเป็นสมการทางการเมืองที่ไม่ปกติ
...
สมมติ ก้าวไกล ได้มา 251 ที่นั่ง ถึงจะได้เสียงโหวตนายกฯในสภา ได้ไม่ถึง 375 เสียง ต่อให้ ก้าวไกล ไปเป็น ฝ่ายค้าน ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้อยู่ดี เพราะแม้จะอาศัยเสียง สว. 250 โหวตให้เป็นนายกฯได้ ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ จะกลายเป็น รัฐบาลเสียงข้างน้อย ทำงานไม่ได้อีก
คราวนี้ เลยไม่มีพรรคการเมืองขั้วไหนกล้าตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะกลัวว่าจะไปได้ไม่สุดซอย และสมมติว่าวันที่ 3 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับเรื่องการตีความ ข้อบังคับการประชุมสภาข้อที่ 41 เรื่องก็ยังคาราคาซัง แต่ผลการลงมติของสภายังมีผลบังคับอยู่ คือจะเสนอญัตติที่ตกไปแล้วกลับมาลงมติใหม่ไม่ได้
จะผูกพันถึงการลงมติโหวตเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทยในวันที่ 4 ก.ค.นี้ด้วย
เพราะฉะนั้นเพื่อไทยก็ต้องมั่นใจว่าวันที่ 4 ก.ค.นี้ การโหวต นายกฯจะจบลงที่มีเสียง สส. และ สว. 375 เสียง สนับสนุนให้ศรษฐาเป็นนายกฯ จากนั้นเศรษฐาก็จะทำหน้าที่ตั้งรัฐบาลที่ดูจากเสียงโหวตว่ามีพรรคไหนโหวตให้บ้าง
ส่วน พิธา ถ้าจะเป็นนายกฯก็ต้องรอไปจนกว่า จะไม่มี สว.ชุดนี้และมีช่องทางที่จะโหวตเลือกนายกฯกันใหม่ อนาคตต้องเลือกไปเป็นฝ่ายค้าน จะให้จับมือกันเป็นมัดข้าวต้ม มีแต่ในอุดมการณ์ไม่ใช่โลกของความเป็นจริง.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th