“จตุพร” วิเคราะห์สถานการณ์ตั้งรัฐบาล เริ่มเข้าสู่จุดหักเห ดักคอเพื่อไทย อย่าตระบัดสัตย์ข้ามขั้วตั้งรัฐบาลร่วมกับพลังประชารัฐ หวั่นเกิดชุมนุมรุนแรง แนะ จับมือก้าวไกลให้แน่นแม้ต้องเป็นฝ่ายค้าน

วันที่ 15 กรกฎาคม 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “จุดเปลี่ยนเกม” โดยเตือนสติพรรคเพื่อไทยให้ยึดมั่นประกาศสัญญาประชาคม ไม่ข้ามขั้วสลับข้างไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเป็นจุดหักเหนำประเทศสู่หายนะ เพราะประชาชนไม่ทนต่อการตระบัดสัตย์และจะออกมาชุมนุมต่อต้านรุนแรงบนถนน

นายจตุพร กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ขณะนี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยากจะไปถึงเป้าหมายเป็นนายกรัฐมนตรีและตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เพราะถูกกรณีแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กำหนดห้ามมาตั้งแต่ต้น ที่ผ่านมาได้เตือนด้วยความหวังดีมาแล้วและสิ่งที่น่ากังวลว่าการแก้ ม.112 แม้พรรคก้าวไกลไม่บรรจุใน MOU 8 พรรค แต่จะเสนอในนามพรรคตัวเอง ถึงที่สุดแล้วคงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ไม่แตกต่างกับการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ในบทเฉพาะกาล ม.272 เพื่อยุติสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มีบทบาทโหวตนายกรัฐมนตรี ย่อมสำเร็จได้ยาก เพราะเสนอมาแล้วถึง 6 ครั้ง ก็ยังแก้ไม่ได้

“การตั้งรัฐบาลหนนี้ เริ่มเดินไปสู่จุดหักเหของสถานการณ์แล้ว 19 กรกฎาคมนี้ เป็นการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 และศาลรัฐธรรมนูญมีการประชุมช่วงเช้าเช่นกัน หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับเรื่องถือหุ้นไอทีวีไว้พิจารณา ย่อมต้องสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ นายพิธา เช่นกัน ดังนั้น นายพิธา คงต้องถูกเชิญออกจากห้องประชุมสภา อย่างไรก็ตามถึงจะมีโอกาสได้โหวตนายกฯ สักกี่ครั้ง สิ่งสำคัญเสียงย่อมไม่ได้ถึง 376 อยู่ดี”

...

ส่วนการย้ายขั้วของพรรคเพื่อไทย นายจตุพร ประเมินว่า แม้สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อเคยประกาศไม่จับมือพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศสอดคล้องกับ นายเศรษฐา ทวีสิน และอ้างว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รับรู้แล้วนั้น ถ้าพรรคเพื่อไทยกล้าข้ามขั้วไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นจุดหักเหทางการเมือง และประชาชนจะลงถนนต่อต้านอย่างรุนแรง 

ทั้งนี้ แม้การข้ามขั้วจะทำให้ได้ตั้งรัฐบาลสำเร็จ แต่เพื่อไทยจะกล้าใช้กำลังปราบประชาชนที่ทนต่อพฤติกรรมตระบัดสัตย์ ไม่รักษาคำพูด ทิ้งคำสัญญาประชาคมหรือไม่ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่ง่ายเลย ถึงสถานการณ์นี้ยังไม่เกิดขึ้น จึงต้องเตือนว่าการย้ายสลับขั้วจะนำบ้านเมืองไปสู่ความหายนะ

ขณะเดียวกัน นายจตุพร ยังได้เสนอแนวทางไม่ให้สถานการณ์ข้ามขั้วเกิดขึ้น ว่า ถ้าพรรคก้าวไกลล็อกคอผูกมัดพรรคเพื่อไทยเอาไว้ โดย นายพิธา เสนอ นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี และยังมีพรรคก้าวไกลอยู่ร่วมเป็นรัฐบาลด้วย เชื่อแนวทางนี้ถึงที่สุด นายเศรษฐา ก็ไม่ได้เสียงถึง 376 เช่นกัน ดังนั้นย่อมตั้งรัฐบาลไม่ได้อีก 

“อยากให้เพื่อไทยเรียงหน้ามาเถียงว่า จะไม่ย้ายข้ามขั้ว เนื่องจากขณะนี้อาการเริ่มออกลายจะย้ายข้างไปจับมือกับฝ่าย 188 เสียง แต่ทันที่ที่ข้ามห้วย คนจะเต็มถนน แล้วเกิดการเผชิญหน้ากับฝ่ายปกป้อง ม.112 และจะเกิดเรื่องรุนแรง อย่างนี้จะเอาอยู่หรือ ดังนั้น การเมืองควรต้องยอมรับความจริงว่าอะไรเป็นของจริงหรือไม่จริงเสียก่อน อย่ามุ่งหวังผลเอาเฉพาะประโยชน์ของตัวเองอย่างเดียว ถ้าพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกลใจแข็ง ยังจับมือกันเหนียวแน่นแล้ว แม้จะเป็นฝ่ายค้านก็เป็นด้วยกัน แต่ประเทศมีทางออกแน่นอน พร้อมกับสามารถเริ่มนับหนึ่งกันได้ สิ่งสำคัญควรเริ่มด้วยให้แต่ละฝ่ายยืนอยู่ในจุดของตัวเองให้ได้”

นายจตุพร ยังย้ำถึงพรรคเพื่อไทยด้วยว่า อย่าข้ามขั้วเด็ดขาด เพราะจะเป็นจุดหักเหให้เกิดการชุมนุมบนถนนรุนแรง แล้วไปสร้างการเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย และยังแก้ไขประเทศไม่ได้ด้วย ทางออกที่ดีที่สุดต้องไม่มีข้ามขั้ว พรรค 312 เสียงต้องจับมือกันให้มั่น ฝ่าย 188 เสียงก็ตั้งรัฐบาลข้างน้อยไม่ได้ และยิ่ง ส.ว. 250 ไม่เลือกใคร สิ่งนี้จะเกิดทางตันทางการเมือง แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นนับหนึ่งของประเทศ ซึ่งประชาชนจะหาทางออกร่วมกัน แต่หากวันไหนย้ายขั้วสลับข้าง บ้านเมืองจะเกิดวิกฤติใหญ่ทันที เพราะพรรคเพื่อไทยไปประกาศไม่จับมือพรรคพลังประชารัฐ ประชาชนจะไม่ทนพฤติกรรมตระบัดสัตย์ทางการเมือง เนื่องจากคำประกาศย่อมเป็นนายของตัวเอง