ยืดเยื้อเรื้อรังมานาน จนถึงวันรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา แต่พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย สองแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย ก็ยังตกลงกันไม่ได้ จะให้พรรคใดเป็นประธานสภา จนมีข่าวลือว่า พรรค พท.จะเสนอให้ “คนกลาง” นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธานสภาเพื่อผ่าทางตัน

ตรงกับผลการสำรวจความเห็นประชาชนของนิด้าโพล ที่พบว่ามีหน่วยตัวอย่างถึง 76.72% เห็นว่าประธานสภาต้องสามารถทำงานให้ทุกพรรคด้วยความเป็นกลาง 28.63% มีประสบการณ์เป็น ส.ส.หลายสมัย 26.34% ต้องจบกฎหมาย 16.41% ต้องมาจากพรรครัฐบาล ไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคอันดับ 1

ความเป็นกลางเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของประธานสภา เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย การประชุมเป็นไปด้วยความราบรื่น แต่ประธานสภาไม่จำเป็นต้องจบกฎหมาย เพราะไม่ต้องใช้ความสามารถทางกฎหมาย ถึงระดับผู้พิพากษา อัยการหรือทนายความ แค่มีความรู้กว้างๆเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ

รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องปรับ ขนาดกฎหมายการเลือกตั้ง กฎหมายพรรค การเมือง กฎหมายการบริหารราชการแผ่นดิน และข้อบังคับการประชุมสภา ก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ประธานสภาควรมาจากพรรครัฐบาล ถ้าเป็นพรรคเดียวกับนายกรัฐมนตรี ก็จะประสานงานกันได้ดี ไม่มีความขัดแย้ง และมีประสิทธิภาพ

การปกครองประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ไม่ได้แยกอำนาจนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารออกจากกันโดยเด็ดขาด ทั้งสองอำนาจมาจากแหล่งเดียวกันคือพรรคเสียงข้างมาก และแบ่งงานกันทำ ให้ระดับผู้บริหารพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ส.ส.ส่วนใหญ่ทำหน้าที่ในสภา สนับสนุนรัฐบาลด้วยเสียงข้างมาก

ขาดเสียงข้างมากในสภาเมื่อไหร่ รัฐบาลก็พังทันที จึงต้องมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ระหว่างรัฐบาลกับประธานสภา ต่างจากระบบประธานาธิบดี ที่แยกอำนาจนิติบัญญัติกับบริหารออกจากกัน ประธานาธิบดีกับเสียงข้างมากในสภาไม่จำเป็นต้องอยู่พรรคเดียวกัน เพราะสภาไม่มีอำนาจลงมติขับประธานาธิบดี

...

ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจยุบสภา แต่ระบบรัฐสภาที่ไทยลอกแบบมาจากอังกฤษ แต่ไม่เหมือนกัน อังกฤษมี สภาสามัญมาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจเลือกและลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ แต่สภาขุนนางที่ไม่ได้เลือกตั้ง ไม่มีอำนาจการเมือง แต่วุฒิสภาไทยจากแต่งตั้ง มีอำนาจเลือกนายกฯ กลายเป็นปัญหาการเมืองขณะนี้.