ปัญหาที่ว่าใครจะเป็นประธานรัฐสภา กลายเป็นเรื่องคาราคาซังต่อไป แม้จะมีการพบกันระหว่างแกนนำของ 8 พรรค ที่ทำบันทึกตกลงร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ก็ดูเหมือนจะไม่ได้แตะเรื่องประธานสภา ส่วนใหญ่เป็นการหารือเรื่องการบริหารประเทศ ทำให้นักวิเคราะห์ การเมืองเชื่อว่าอาจตั้งรัฐบาลไม่ได้
หลายคนรวมทั้ง ส.ว.และผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองฟันธงว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีสิทธิ์เป็น “นายกรัฐมนตรีทิพย์” เพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว. ที่ทั้ง 8 พรรคต้องการอย่างน้อย 64 เสียง จึงจะถึง 376 เสียง แม้ ส.ว.ส่วนใหญ่จะเงียบ ไม่ออกความเห็น
แต่ ส.ว.ไม่กี่คนเสียงดัง ประกาศตนชัดเจน จะไม่เลือกนายพิธาโดยเด็ดขาด อ้างว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายที่อาจนำไปสู่วิกฤติของประเทศ เช่น การแก้ไข ป.อาญามาตรา 112 ไม่อยากถูกบันทึกชื่อในฐานะผู้สนับสนุนให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ทำให้ประเทศกลายเป็นอสัญญี
นักเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกคนหนึ่ง คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งขณะนี้กลายเป็นนักวิเคราะห์การเมือง ฟันธงว่า นายพิธาเป็นนายกฯทิพย์มาตั้งแต่ต้น ถ้า ส.ส.พรรคก้าวไกล ไม่ได้เป็นประธานสภา นายพิธาก็จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
นายจตุพรวิเคราะห์ว่า แม้จะเปลี่ยนตัวผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ก็จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หากยังจับมือกับพรรค ก้าวไกลอยู่ แต่ถ้านายสุชาติ ตันเจริญ ได้รับเลือกเป็นประธานสภา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
ความเห็นที่ว่า บิ๊กป้อมอาจได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ถึงกับร้อง “เลอะเทอะ” พร้อมทั้งชี้ให้ดูผลการเลือกตั้งที่พรรค พปชร.ได้ ส.ส.แค่ 40 ที่นั่ง ส่วนพรรค ก.ก. 151 ที่นั่ง รวมกับพรรค พ.ท. 141 ที่เป็น 292 ที่นั่ง เป็นเสียงข้างมากในสภา
...
จะเลอะเทอะหรือไม่เลอะเทอะก็ตาม แต่ภายใต้ดวงอาทิตย์ของประเทศไทย และภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 อะไรๆ ก็เป็นไปได้ เช่น การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ด้วยการสนับสนุนของ 250 ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร จากนั้นดูดพรรคอื่นๆ เข้าร่วมเป็นเสียงข้างน้อย โดยไม่ต้องแยแสประชาชน.