ปฐมบทว่าด้วยการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรของสภาชุดที่ 26 ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง และรองประธานสภาคนที่ 1 และ 2
ตามข้อบังคับการประชุมให้สมาชิกผู้มีอาวุโสสูงสุดเป็นประธานชั่วคราวของที่ประชุม สมาชิกแต่ละคนมีสิทธิเสนอชื่อโดยมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 20 คน
ไม่ว่าจะสังกัดพรรคการเมืองไหนหรืออยู่ในซีกไหนสามารถแสดงสิทธิได้อย่างเต็มที่ ให้ผู้ถูกเสนอชื่อกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ในการที่จะดำรงตำแหน่งต่อที่ประชุม
ถ้ามีการเสนอชื่อหลายชื่อให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นการลับ เว้นแต่มีผู้เสนอชื่อเพียงคนเดียวให้ถือว่าผู้ถูกเสนอชื่อนั้นเป็นผู้ถูกรับเลือก
เท่ากับว่าหากต้องโหวตแข่งกันก็จะไม่รู้ว่าใครลงคะแนนให้ใคร
ประเด็นปัญหามันอยู่ที่ว่า 8 พรรค 312 เสียงที่จัดตั้งรัฐบาลจะตกลงกันอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ได้มอบให้ “ก้าวไกล” พรรคอันดับ 1 และ “เพื่อไทย” พรรคอันดับ 2 ตกลงกันเอง
ผลออกมาอย่างไรก็ว่ากันไปตามนั้น
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นจนยืดเยื้อมาก็เพราะทั้ง 2 พรรคตกลงกันไม่ได้ แต่ละฝ่ายต่างก็ต้องการที่จะได้ตำแหน่งนี้
พรรคอื่นๆก็พูดไม่ออก มีแต่วาดหวังว่าจะตกลงกันได้ ด้วยดีเพื่อเดินไปสู่ขั้นการโหวตนายกรัฐมนตรี และตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ
ทางออกมี 3 หน้า
1.“ก้าวไกล” ได้ตำแหน่งนี้ไป
2.“เพื่อไทย” ได้สิทธินี้
3.โหวตแข่งกันในสภาโดยต่างคนต่างเสนอชื่อ
แน่นอนว่าถ้าถึงขั้นต้องเปิด “ฟรีโหวต” ย่อมไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลที่จะจัดตั้งกันต่อไป
เพราะเริ่มต้นก็แข่งกันเองเสียแล้ว บ่งบอกถึงความไม่เป็นเอกภาพเกิดความไม่ไว้วางใจกัน ปัญหาที่จะตามมาก็คือความกินแหนงแคลงใจกัน
...
หมดเรื่องนี้แล้วก็จะต้องมีการแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง เมื่อความไม่ลงรอยกันปรากฏอย่างนี้
ก็คงแย่งกันอีก ไม่มีใครยอมใคร?
มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง “ก้าวไกล” นั้น ชัดเจนด้วยการเปิดตัวบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนี้ รวมถึงภารกิจสำคัญที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
แต่ “เพื่อไทย” บอกเพียงว่าเสียงไม่ห่างกันมากนัก ควรจะ “กินแบ่ง” ไม่ใช่ “กินรวบ” ที่สำคัญมีบุคลากรที่เหมาะสมมาก
อีกทั้งมีปัญหาภายในซึ่งเป็นแรงกดดันที่ประกาศตัวชัดเจนว่าไม่ยอมยกให้ “ก้าวไกล” เพียงแต่ไม่ยอมระบุว่ามีเหตุผลความจำเป็นอะไรที่ต้องได้ตำแหน่งนี้
ถ้าบอกกันตรงๆ “ก้าวไกล” อาจจะยอมยกให้ก็ได้
เพียงแต่บอกไม่ได้พูดไม่ออกนอกจากยืนยันเพียงอย่างเดียวว่าสนับสนุนให้ “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
อีกทั้งวางเดดไลน์สุดท้ายด้วยว่า “เพื่อไทย” จะประชุมพรรค และตัดสินใจในวันที่ 3 ก.ค. ก่อนวันโหวตเพียงวันเดียว
เท่ากับ “มัดมือชก” ไม่ยอมก็ต้องยอม
ความจริงเมื่อตกลงกันไม่ได้ปล่อยให้ “ฟรีโหวต” พรรคใครพรรคมันก็น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด เมื่อไม่มีทางเลือกอย่างอื่น
จะเกิดอะไรขึ้นตามมาค่อยไปว่ากันอีกที!
“สายล่อฟ้า”