"ปดิพัทธ์" ขึ้นเวที "อนาคตประเทศ ภายใต้รัฐบาลใหม่" เผย เป้าหมายสร้างสภา โปร่งใส เป็นของประชาชน ย้ำ ตั้งใจจะให้สภามีอำนาจตรวจสอบฝ่ายบริหารจริงๆ ยัน ประธานสภา ต้องไม่เป็นนั่งร้าน หรืออยู่ใต้อาณัติรัฐบาล ไม่เกรงใจพรรคการเมืองใด
วันที่ 2 ก.ค. 66 นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 และแคนดิเดตประธานสภา จากพรรคก้าวไกล ขึ้นเวที "อนาคตประเทศไทย ภายใต้รัฐบาลใหม่" ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยมี นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ผู้จัดการการสื่อสารและรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ด้วย โดยระหว่างการบรรยาย นายปดิพัทธ์ ได้แสดงวิสัยทัศน์ในการสร้างรัฐสภาไทยให้เป็น Open Parliament หรือรัฐสภาที่เปิดเผยโปร่งใส

นายปดิพัทธ์ ระบุว่า ต้องมีการเปลี่ยนแปลงองค์กรนิติบัญญัติอย่างรัฐสภา เพื่อให้อำนาจแก่พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนต้องถูกนำมาพิจารณา เพราะที่ผ่านมากฎหมายของประชาชนเสียงไม่ดังพอ มักไม่ผ่านการพิจารณาของสภา ต่างจากกฎหมายที่เสนอโดย ครม.
...

"ถ้าเราอยากทำการเมืองใหม่ ทำการเมืองดี เราคาดหวังแค่ทำเนียบรัฐบาลไม่ได้ ต้องคาดหวังไปที่การปฏิรูป หรือการเปลี่ยนแปลงองค์กรนิติบัญญัติด้วย นี่จึงเป็นที่มาของการฟอร์มทีม เราเอาจริงเอาจังในการเข้าไปบริหารองค์กรนิติบัญญัติ เรากระตือรือร้นที่จะเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพราะต้องการตักตวงทรัพยากรเข้าตัวเอง แต่เห็นว่าถ้ากระบวนการนิติบัญญัติดีมันจะทำให้ประเทศก้าวหน้าได้"

"ถ้าสภาเป็นที่ตั้งในการผลิตกฎหมายให้กับ ครม. กฎหมายของประชาชนยากที่จะผ่าน ทั้งที่ประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง รอกฎหมายนี้มาหลายสิบปี ส.ส. 20 คน สามารถเสนอกฎหมายได้ เพราะฉะนั้นคนจากพรรคเล็กก็มีสิทธิที่จะเสนอกฎหมายได้ใช่ไหมครับ เพราะประชาชนเลือกเขามา ถ้าพรรคประชาชาติมี ส.ส. 9 ท่าน หาเพิ่มให้ถึง 20 ท่าน ก็ควรจะเสนอกฎหมายที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นสมควรจริงไหม ทำไมเราจะไม่ให้ ส.ส. 20 คนเสนอกฎหมายเข้าไปได้ อันนี้คือกระบวนการนิติบัญญัติที่เราต้องการเข้าไปเปลี่ยนแปลง"
แคนดิเดตประธานสภา ยังย้ำอีกว่า กระบวนการนิติบัญญัติ และประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องไม่เป็นนั่งร้าน หรืออยู่ใต้อาณัติของรัฐบาล ไม่เกรงใจพรรคการเมืองใด
"ทุกท่านครับ อันนี้เป็นความตั้งใจของเราจริงๆ ที่จะให้สภานิติบัญญัติมีอำนาจตรวจสอบฝ่ายบริหารจริงๆ สภาที่เราเห็นว่ามันล้มเหลว สภาล่ม รัฐมนตรีไม่มาตอบกระทู้ กฎหมายไม่ผ่าน เพียงเพราะมีการเล่นการเมืองในสภา เราอยากจะเข้าไปกอบกู้ขึ้นมาใหม่ให้ประชาชนรู้สึกว่าอำนาจของเราอยู่ที่นั่น อำนาจของประชาชนอยู่ที่นั่น การต่อสู้ของเราอยู่ที่นั่น และมีตัวแทนของพวกเราอยู่ที่นั่นจริงๆ ทั้งคนที่ผมเห็นด้วยและผมไม่เห็นด้วย พวกเขามีสิทธิพูด เพราะพวกเขามาจากการเลือกตั้ง มันไม่สำคัญว่าพวกเขาพูดอะไรตรงกับที่ผมคิดหรือเปล่า แต่มันสำคัญกับว่าเขามีความชอบธรรมที่จะพูดในสภา เพราะเขามาจากประชาชน ตรงนี้คือสิ่งที่เราอยากสร้างขึ้นมา"

นายปดิพัทธ์ เชื่อว่าหากระบบนิติบัญญัติเข้มแข็ง จะเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ของกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบประชาธิปไตยเต็มใบ ถ้าประชาชนมีความเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา จะทำให้เกิดความหวังทั้งบนท้องถนน ในสภา และในคูหาการเลือกตั้ง

นอกจากนี้ แคนดิเดตประธานสภาจากพรรคก้าวไกลได้แสดงวิสัยทัศน์ถึงแนวทางการจัดการพื้นที่อาคารรัฐสภาด้วย โดยระบุว่าในช่วงการระบาดของโควิด-19 ตนได้เห็นประชาชนหลากหลายอาชีพเดินทางเข้าไปยื่นหนังสือ ทั้งนักดนตรี ไรเดอร์ ฯลฯ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจและโรคระบาด ตนจึงอยากให้ทุกอาชีพเข้าไปใช้บริการได้อยากสะดวกสบาย และถ้าหากเดินทางไปสภาด้วยรถสาธารณะจะพบว่าไม่มีเส้นทางให้เดินเข้าไปใช้บริการ เพราะอาคารคิดมาเพื่อให้ใช้รถยนต์ส่วนตัว และนี่คืออันตรายของการออกแบบที่ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มีอำนาจ และมีอีกหลายอย่างที่ตนอยากจะทำให้อำนาจของประชาชนยังอยู่ โดยการสร้าง Open Parliament และสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยให้อยู่ในทุกที่ของชีวิตประจำวัน เพื่อให้ประชาชนมีอำนาจอย่างยั่งยืน

"ถ้าผมได้เป็นประธานสภา แล้วประชาชนอยากตรวจสอบงบประมาณของผม ทำได้เลยครับ ผมตั้งใจว่าจะทำให้สภาเป็น Open Parliament ทุกอย่างจะเปิดเผยโดยที่ประชาชนไม่ต้องร้องขอ ทุกคนก็จะรู้ว่าประธานคนนี้ขับรถประจำตำแหน่งอะไร บินไปดูงานที่ไหนบ้าง ใช้เงินภาษีไปตัดสูทของตัวเองกี่บาท" นายปดิพัทธ์ กล่าว.