เปลี่ยนพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน...อันตรายมากเกินไป!! ส.ว.พยายามนำเสนอให้ลดเพดานลง ค่อยๆเปลี่ยน

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ผู้มีบทบาทสำคัญอีกคนในวุฒิสภา ส่งสัญญาณถึงคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และพรรคก้าวไกล

ถ้าไม่ยอมปรับเปลี่ยนตาม คลื่นสัญญาณนี้จะกัดกร่อนก้อนน้ำแข็งที่เปรียบเหมือนตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30 ของคุณพิธาให้ค่อยๆละลายจนกลายสภาพเป็นน้ำ

สัญญาณที่ส่งมาชี้ให้เห็นว่า ส.ว.ไม่ได้กังวลต่อตัวคุณพิธา แต่กังวลต่อนโยบายความมั่นคงของพรรคก้าวไกล

โดยเฉพาะมาตรา 112 ที่เราบรรจงตรวจร่างฉบับที่ไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เพราะขัดรัฐธรรมนูญ และจะสร้างความขัดแย้งในสังคมสูงมาก

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ว.หลายคนมีมุมคิดในทิศทางเดียวกันกับผู้ที่ให้สัมภาษณ์ ทีมการเมือง

อาทิ คุณคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. ที่ขยายความปมร้อนหลายรอบ โดยเฉพาะวันที่ 27 มิ.ย. คุณพิธาระบุ “มีข้อมูลที่หลายฝ่ายยังเข้าใจผิด เพราะการแก้ไขคือการแก้ไข ไม่ใช่ยกเลิก เท่าที่ได้คุยกับ ส.ว. ทำให้เข้าใจมากขึ้น

...

การรักษาการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่าน”

คุณคำนูณชี้ให้เห็นไส้ใน ภาพรวมร่างแก้ไข 112 ภายใต้ฉลาก (แค่) แก้ไข ไม่ใช่ยกเลิก เป็นการลดระดับการคุ้มครองสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์ลงมาเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 90 ปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก 10 ม.ค.2475

จากคุ้มครองเด็ดขาด เป็นคุ้มครองอย่างมีเงื่อนไข

โดยย้ายหมวดออกจากความมั่นคงของรัฐ ลดโทษจำคุกลงต่ำเหลือไม่เกิน 1 ปี เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด ไม่ต้องรับโทษ ให้เป็นความผิดที่ยอมความได้ จำกัดผู้แจ้งความดำเนินคดี ให้สำนักพระราชวังร้องแทน

การนำออกมาตรานี้ออกจากหมวดความมั่นคงของรัฐ เป็นปมหลักต้องถก เพราะกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายลำดับรองที่ให้รัฐธรรมนูญ มาตรา 6 มีผลเป็นจริงในทางปฏิบัติ

นับเป็นกระดุมเม็ดแรกที่ผู้ร่างจงใจกลัดเสียใหม่ให้ผิดไปจากหลักเดิม ทำให้เม็ดต่อๆมาผิดตาม เพราะเมื่อลดสถานะของพระองค์ลงมาเปรียบเทียบกับบุคคลธรรมดาแล้ว

ก็นำหลักการทั่วไปของโทษหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาว่าด้วยเหตุไม่เป็นความผิด และไม่ต้องรับโทษมาใช้กับพระองค์

หากแก้ไขสำเร็จ บทบัญญัติคุ้มครองการดำรงอยู่ในสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดมิได้ของพระองค์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ถึงจะยังคงอยู่

แต่ก็ลดระดับลงมามาก เสมือนแก้ไขบทบัญญัติหลักมาตราแรก หมวดพระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญทางประตูหลัง

ประเด็นนี้เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่บรรดา ส.ว.อาจไม่โหวตให้คุณพิธาได้เป็นนายกฯ นายสมชายบอกว่า ใช่ครับ ปมนี้ไม่ใช่ของคุณพิธา เป็นปมของพรรคก้าวไกล ซึ่งบรรดา ส.ส.ยืนยันส่งร่างแก้ไขกฎหมายนี้เข้าไปในสภา

อ้างทำให้พระองค์ในศตวรรษที่ 21 ไม่ปะทะกับประชาชน

ขณะที่นโยบายร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ผ่านสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เป็นสิ่งที่กังวล ที่จะร่างใหม่ทุกหมวด ทุกมาตรา โดยไม่คำนึงถึงกรอบเหมือนในอดีต

ย่อมกระทบหมวด 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งเดียวกันแบ่งแยกมิได้ ที่ไปสอดคล้องกรณีรณรงค์ทำประชามติรัฐปาตานี รัฐล้านนา หรือการเปลี่ยนวันชาติ

ใครจะไปรู้ อยู่ๆไปเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียว ตัดคำว่าแบ่งแยกมิได้ออก เพื่อให้เกิดรัฐซ้อนรัฐหรือไม่ หรือกำหนดวันชาติรัฐปาตานีขึ้นมา 1 วัน วันชาติสยาม 1 วัน วันชาติล้านนา 1 วัน

ขอย้ำที่เราต้องกังวลในความที่จะทำให้ประเทศไทยไม่มั่นคง ซึ่งต้องยอมรับแนวคิดเหล่านี้มีอยู่จริง และยังรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงความคิดเด็ก เหมือนล้างสมองหรือเป็นซอมบี้ ในเรื่องเกี่ยวกับการลบทิ้งทั้งหมด และสร้างขึ้นมาใหม่ในรุ่นเรา

“การขึ้นมาเป็นรัฐบาลคุมเสียงข้างมาก และเป็นนายกฯ แล้วไปเปลี่ยนประเทศอย่างที่คาดเดาไม่ค่อยได้ มันเป็นความกังวลใจของบรรดา ส.ว.

ได้พยายามเสนอให้ลดเพดานลง ไม่ใช่เราคอนเซอร์เวทีฟที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่หลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปไม่มีหลักยึด เปลี่ยนวัฒนธรรมจนไร้ราก ขาดความเป็นไทยที่มีรากเหง้ามานับพันปี

สุ่มเสี่ยงเกิดวิกฤติในประเทศ อันนี้เป็นข้อห่วงใย แต่ได้รับคำยืนยันจากคุณพิธากับพวกตลอดว่า จะเดินหน้าต่อ โดยไม่ลดเพดาน ยิ่งทำให้ ส.ว.หลายส่วนฟังแล้วไม่สบายใจ”

ทีมการเมือง ถามว่า พรรคก้าวไกลไม่ลดเพดานที่ทะลุปมร้อน แสดงว่าคุณพิธาปิดประตูเป็นนายกฯ เหลือแค่แคนดิเดตนายกฯจากพรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐ ที่ ส.ว.จะโหวตให้ผ่านด่าน 376 เสียง

นายสมชาย บอกว่า สมมติโหวตรอบแรกผ่าน หรืออาจไม่ผ่าน ก็ต้องดูว่าโหวตครั้งที่ 2 ใช้สูตรไหน ยังเป็นสูตรพรรคก้าวไกลบวกพรรคอื่นหรือไม่

พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เอาอยู่แล้ว และการประกาศไม่เอา 2 ลุง

ทำให้สูตรพรรคก้าวไกลไปต่อได้ยากมาก!!

สูตร 2 พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล หรือสู้ตำแหน่งเลือกประธานสภา อาจได้ประมาณ 272 เสียง ไปรวมกับพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคประชาชาติ พรรคประชาธิปัตย์

เห็นภาพชัดเจน พรรคเพื่อไทยมีความเป็นมิตรกับพรรคการเมืองอื่นมากกว่าพรรคก้าวไกล ซึ่งต้องดูว่าพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคไหน ถ้ากับพรรคก้าวไกล ส.ว.ไม่ปฏิเสธ แต่พรรคก้าวไกลต้องลดเพดานนโยบายลง

การเสนอเงื่อนไขให้พรรคก้าวไกล ลดเพดานนโยบายที่ทะลุปมร้อน เท่ากับวางหมากบีบให้ไปเป็นฝ่ายค้าน นายสมชาย บอกว่า ไม่ได้บีบ

เป็นเสียงสะท้อนของสังคมจากประชาชนทั่วประเทศ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ หน่วยราชการ ส.ว.ก็รับฟังมา พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล และคุณพิธาเป็นนายกฯได้ แค่ทำสัญญาประชาคมลดเพดานนโยบายเหล่านี้ลง ให้ประเทศเดินต่อไปได้

วันนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ ส.ว. แต่อยู่ที่พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ตกลงกันให้ได้ ตั้งแต่ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร และนโยบายที่เปลี่ยนผ่านประเทศ

ตัวแทนพรรคก้าวไกลพยายามเข้าพบ ส.ว.ทำความเข้าใจในทุกประเด็นร้อนที่เป็นข้อกังวล เพื่อขอเสียงสนับสนุนคุณพิธาเป็นนายกฯ ผลล่าสุดเป็นอย่างไร นายสมชาย บอกว่า ส.ว.ที่ได้
พูดคุยกับทางพรรคก้าวไกลก็มาเล่าให้ฟัง

มีความพยายามอธิบายวนอยู่เฉพาะ 112 เป็นมาตราที่กดทับ จะทำให้เด็กอายุ 15 ติดคุก การแก้ไขทำให้สถาบันมั่นคง ปลอดภัยถาวรอยู่กับประชาชนมากขึ้น ส.ว.ก็รับฟังไว้คำชี้แจงเหล่านี้

แต่ไม่มี ส.ว.ท่านใดระบุว่าโหวตให้คุณพิธา

“อยากปิดสวิตช์ ส.ว. ส.ว.ก็บอกว่าทำอย่างนั้นให้ผมไปร่วมสนับสนุน เพื่อให้ประเทศเดินต่อไปไม่ได้

เดี๋ยววันหนึ่งถูกจารึก เป็นคนที่ไปโหวตสนับสนุน ทำให้ประเทศเกิดวิกฤติ เกิดการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับประชาชน ยังไงก็...ไม่โหวตให้

ขอปิดสวิตช์ตัวเอง มีหลายคนที่จะปิดสวิตช์ตัวเอง โดยเฉพาะ 23 ส.ว. ที่เคยโหวตเลิกใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ส่วนใหญ่ของดออกเสียงทุกกรณี ไม่ว่าเสนอชื่อใครเป็นนายกฯ

ฉะนั้นขอให้กำลังใจทั้งพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย หรือพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคภูมิใจไทย”

ส่วนพรรคก้าวไกลจะร่วมรัฐบาลกับพรรคไหน เราไม่ติดใจ แต่การเสนอกฎหมายที่เป็นปัญหาต่อประเทศ

อาจกลายเป็นชนวนจุดความขัดแย้ง

นำประเทศไปสู่สงครามกลางเมือง.

ทีมการเมือง