นึกว่าเป็นข่าวดี แต่กลายเป็นข่าวลืออีกจนได้ นั่นก็คือรายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยที่ระบุว่า เรื่องประธานสภาได้ข้อสรุปแล้ว พรรคก้าวไกลจะได้ประธานสภา พรรคเพื่อไทยจะได้รองประธานคนที่ 1 และที่ 2 แต่มีเงื่อนไขถ้านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ผ่านด่านวุฒิสภา พรรค พท.จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

โดยให้พรรค ก.ก.อยู่ช่วยพรรค พท.จัดตั้งรัฐบาล ไม่แยกตัวไปไหน แต่เช้าวันรุ่งขึ้นแกนนำทั้งสองพรรคต่างปฏิเสธข่าว ทำให้ประชาชนสงสัย ทำไมจึงตั้งรัฐบาลยากเย็นแสนเข็ญ ทั้งๆที่พรรคฝ่ายเสรีนิยมชนะเลือกตั้ง พรรค ก.ก.ได้ ส.ส.มากที่สุด รวบรวม ส.ส. 8 พรรค ได้เสียงข้างมาก 312 เสียง

เหตุที่ตั้งรัฐบาลยากประการแรกเพราะพรรค ก.ก.ได้ ส.ส.มากที่สุดก็จริง แต่ไม่ใช่ชนะแบบฟ้าถล่ม ได้ ส.ส.เพียง 151 ที่นั่งจากทั้งหมด 500 ที่นั่ง ต้องได้อีกอย่างน้อย 100 ที่นั่ง จึงจะเกินกึ่งหนึ่งคือ 251 เสียง ถ้าได้แบบนี้จะตั้งรัฐบาลได้ง่าย แค่ดึง พท.มาพรรคเดียวก็จะได้ 392 เสียง เลือกนายกรัฐมนตรีได้

โดยไม่ต้องพึ่ง ส.ว.แม้แต่เสียงเดียว แต่นักวิชาการหลายคนชี้ว่า เหตุที่ตั้งรัฐบาลได้ยากมีต้นตออยู่ที่รัฐธรรมนูญ 2560 บทปกติของรัฐธรรมนูญ ระบุว่า สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี แต่มีบทเฉพาะกาลที่อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “บทสืบทอดอำนาจ” ให้ 250 ส.ว.ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี

จึงต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของทั้งสองสภา คือ 376 เสียงขึ้นไป นี่คือปัญหาที่นายพิธาเผชิญอยู่ แต่ถ้าจะสาวให้ลึกลงไปก็จะพบว่าต้นตอของปัญหาคือ รัฐประหารที่เกิดขึ้นซ้ำซาก แต่ละคณะล้วนแต่มุ่งสืบทอดอำนาจ โดยวิธีที่ขัดแย้งหลักประชาธิปไตย แต่อ้างว่าถูกต้องตามรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นเอง

เคยมีนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ หรือแม้แต่พรรคการเมืองเสนอมาตรการป้องกันรัฐประหารด้วยการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้การยึดอำนาจเป็นความผิดร้ายแรง แต่มีเสียงทักท้วงว่าคณะรัฐประหารจะฉีกรัฐธรรมนูญนั้นทิ้งทันที และกฎหมายเอาผิดคณะรัฐประหารก็มีอยู่แล้ว คือ ป.อาญา ม.113 ความผิดฐานกบฏ

...

ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ประเทศไทยมีกฎหมายดีๆ มากมาย แต่ไม่มีการใช้บังคับ เพราะเมื่อคณะรัฐประหารยึดอำนาจได้แล้ว จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตนเองพ้นผิด ประเทศไทยยึดหลักการว่า ผู้ยึดอำนาจได้เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด หลักการนี้ส่งเสริมเผด็จการหรือประชาธิปไตย.