เวลา 17.00 น.วันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดประชุมรัฐสภา ณ ห้องประชุมอาคารรัฐสภา วันพรุ่งนี้ 4 กรกฎาคม คุณพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนฯ มีหนังสือเชิญ ส.ส.เข้าร่วม ประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ครั้งที่ 1 โดยมีวาระการประชุมดังนี้ 1.สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปฏิญาณตนในที่ประชุมก่อนเข้ารับหน้าที่ ตามมาตรา 115 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2.เลือกตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร 3.เลือกตั้งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาเลือกตั้ง 3 ตำแหน่ง ประมาณ 6 ชั่วโมง

ขั้นตอนการเลือกตั้งประธานสภาผู้แทนฯ และรองประธานฯมีดังนี้

เริ่มต้นด้วยการเปิดให้ เสนอชื่อบุคคล ที่จะเป็นประธานสภาฯ โดยต้องมีผู้รับรอง 20 คน จากนั้นก็ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานสภาฯแสดงวิสัยทัศน์ หากที่ประชุมมีการเสนอเพียงชื่อเดียว ก็ไม่ต้องลงคะแนน ถือว่าบุคคลนั้นได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่หากมีการเสนอชื่อแข่ง ก็จะต้องมีการโหวตลงมติ การลงคะแนนจะเป็นการ “ลงคะแนนลับ” โดยให้ ส.ส.ลงคะแนนครั้งละ 20 คน เรียงตามตัวอักษร เพื่อเข้าคูหาไปลงคะแนน วิธีการลงคะแนน ให้เขียนชื่อบุคคลที่ต้องการเลือกลงในกระดาษ แล้วใส่ในซองสีน้ำตาล ก่อนนำไปหย่อนลงในกล่องใส การตรวจนับคะแนน ผลคะแนนจะขึ้นจอทันที เมื่อนับคะแนนครบ ก็จะประกาศชื่อผู้ที่ได้รับการเลือก ก่อนนำบัตรไปทำลาย ส่วนตำแหน่งรองประธานสภาฯทั้ง 2 คน ก็ใช้วิธีเดียวกัน

ใช้เงินลงทุนสร้างรัฐสภาไปกว่าหมื่นล้านบาท ยังต้องใช้วิธี “อนาล็อก” เหมือนเดิม

ผมเขียนบทความนี้เย็นวันศุกร์ ต้องส่งล่วงหน้าเนื่องจากตรงกับวันออกลอตเตอรี่พอดี การเจรจาเก้าอี้ตำแหน่งประธานสภาฯ ระหว่าง พรรค ก้าวไกล กับ พรรคเพื่อไทย ยังไม่จบ การเจรจากันนัดสุดท้าย คุณชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการก้าวไกล แถลงว่า จะมีขึ้นในเวลา 10.00 น.วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม ส่วนพรรคเพื่อไทยก็จะมีการประชุม ส.ส.พรรคในช่วงเช้าวันที่ 3 กรกฎาคม เพื่อเตรียมโหวตเลือกประธานสภาฯในวันที่ 4 กรกฎาคม แต่ทาง คุณพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนฯ ซึ่งบอกว่าต้องรอสัญญาณจากพรรคก้าวไกลและเพื่อไทยในการเรียกประชุมสภาผู้แทนฯนัดแรก เพื่อเลือกประธานสภาฯและรองประธาน กลับมีหนังสือแจ้ง ส.ส.ให้เข้าร่วมประชุมในเช้าวันที่ 4 กรกฎาคม ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน แสดงว่าทั้งสองพรรคคงเจรจาคืบหน้าไปในระดับหนึ่ง

...

ก็หวังว่าการเจรจานัดสุดท้าย 2 กรกฎาคม สองพรรคคงจะตกลงกันได้ด้วยดี ใครจะได้เก้าอี้ “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ไปครอง ไม่ต้องไปลงคะแนนลับโหวตกันในสภา

วันศุกร์ที่แล้ว ผมเขียนไปว่า “เกมนี้ก้าวไกลอาจเสียถึงสองเก้าอี้” แต่กระแสข่าวที่ออกมาปลายสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อไทยยอมยกเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนฯให้ก้าวไกล เพื่อแลกกับเงื่อนไข ถ้า คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯก้าวไกล ไม่ผ่านการโหวตรับรองจากสภา ก็จะเปิดโอกาส ให้เพื่อไทยเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯแทน และ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดย พรรคก้าวไกลยังคงอยู่ร่วมรัฐบาลเหมือนเดิม เป็นเกมที่เพื่อไทยมีแต่ได้กับได้ ในขณะที่ ก้าวไกลได้เก้าอี้ประธานสภาฯ และจำนวนรัฐมนตรีเท่าเดิม แต่ไม่ได้เก้าอี้นายกฯ คุณพิธา ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า ควรฟังแต่ยังไม่เชื่อ คงมีแค่ฉากทัศน์เดียว คือเราจะไปด้วยกัน และตนเองเป็นนายกฯตามเจตจำนงประชาชน

จากการวิเคราะห์ในหลายมิติตามวิถีประชาธิปไตยแบบไทยๆ พรรคก้าวไกลยังคงมีความเสี่ยงทั้ง 2 เก้าอี้ ทั้งเก้าอี้ ประธานสภาผู้แทนฯ และ เก้าอี้นายกฯ ถือเป็นเกมกดดันพรรคก้าวไกลอย่างที่สุด จะยอมกลืนเลือดซื้อเวลา หรือ ไปเป็นฝ่ายค้าน

ระหว่างนี้ พรรคก้าวไกล คงต้องท่องคาถา “อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้” ไปพลางก่อน เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว ก็แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ รอเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญไปอีก 2-3 ปี เพื่อเลือกตั้งใหม่ คงไม่นานเกินไปที่จะรอถ้าอดทนพอ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”