"เปิดปากกับภาคภูมิ" ร่วมวิเคราะห์ตำแหน่ง "ประธานสภาฯ" ต้องเป็นคนที่เหมาะสม มีบารมี มอง "ก้าวไกล-เพื่อไทย" นอนเตียงเดียว แต่คนละฝัน แนะ 8 พรรคนั่งคุย มากกว่าการขอโควตา
วันที่ 30 มิ.ย. 66 รายการเปิดปากกับภาคภูมิ โดย "ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์" วันนี้เป็นการพูดคุย อ่านเกม 2 พรรค ในประเด็นที่ "หมอชลน่าน" เอ่ยปากขอเก้าอี้ประธานสภาฯ ยืนยันไม่ได้แย่งหรือบีบบังคับ ขณะที่ "พิธา" บอกยังเจรจากันอยู่ โดยมีแขกรับเชิญที่มาร่วมวิเคราะห์คือ ผศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า ตำแหน่งประธานสภาฯ มีความสำคัญอย่างไรกับการเมืองไทย นายสุรนันทน์ เผยว่า มีความสำคัญ ไม่ว่าการเมืองสมัยไหน เพราะการเป็นประธานสภาฯ นอกจากจะเป็นกลางแล้ว ต้องพูดคุยได้กับทั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ส.ฝ่ายค้าน และยังต้องพูดกับ ส.ว. ได้ด้วย เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่ประธานในที่ประชุม แต่จะต้องคุยกับใครก็ได้ และยังต้องเป็นคนที่บรรจุวาระการประชุม กฎหมายบางฉบับ ที่เห็นว่าควรจะบรรจุ แต่ประธานสภาฯ ไปพูดคุยมาแล้วเห็นว่า มีคนค้านเยอะ เข้าสภาทะเลาะกันแน่ ก็ต้องมีวิธีการบริหาร ดังนั้น การมีบารมีสำคัญ คุมเกมได้ทั้งใน และนอกสภา
การเมือง ณ ตอนนี้ ตำแหน่งประธานสภาฯ มีความหมายกับพรรคก้าวไกล หรือเพื่อไทย มากกว่ากัน ผศ.ดร.โอฬาร เผยว่า มันมีนัยทางการเมือง เพื่อช่วงชิงอำนาจกันอยู่ คือ ใน 8 พรรคร่วม มันเป็นความจำเป็น ที่เรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แต่ลึกๆ เชื่อว่า ทั้งสองพรรคอยู่ในภาวะ "เตียงเดียว คนละฝัน" นอนเตียงเดียวกัน แต่มีคนละความฝัน พอมีคนละความฝัน การช่วงชิงตำแหน่งในฐานะการนำ จึงมีความหมายมาก อย่างเช่น ก้าวไกล อ้างว่า ต้องการตำแหน่งประธานสภาฯ เพราะมีเสียงข้างมาก ซึ่งตำแหน่งนี้มีผลสัมพันธ์ในการกำหนดวาระสำคัญ ก้าวไกล อาจจะไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ทำให้เห็นว่าหากได้เป็น ประธานสภาฯ วาระสำคัญในการผลักดันกฎหมาย เขาได้ทำแล้ว เขาสามารถไปสื่อสารทางการเมืองต่อได้ว่า ประชาชนเห็นไหมว่าเขาทำแล้ว ส่วนทำแล้วจะติดเงื่อนไขอะไร ก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง
...
นอกจากนี้ ถ้าเขาได้ ยังสะท้อนว่า โอกาสที่จะได้ไปต่อในตำแหน่งนายกฯ นั้น มีความเป็นไปได้ ถึงแม้ว่า ส.ว. จะเป็นเงื่อนไขสำคัญ แต่ประธานสภาฯ สามารถกำหนดวาระได้ ซึ่งการโหวตนายกฯ นั้น ไม่มีวาระ โหวตได้เรื่อยๆ โหวตไม่ผ่านก็โหวตอีก ซึ่งถือเป็นเรื่องการช่วงชิงการนำของทั้งสองพรรค
นายสุรนันทน์ เสริมว่า ที่อาจารย์พูดเป็นแค่หลัก ว่าพรรคอันดับหนึ่งจะได้อะไรบ้าง แต่จริงๆ แล้ว คุณพิธา และพรรคก้าวไกล ได้สิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน ไม่ได้หมายความว่าจะได้เป็นรัฐบาล สองคือ แล้วจะทำอย่างไร ก็คือต้องประคอง แต่คุณพิธา ออกมาแล้วมัดเลยว่า ฝ่ายประชาธิปไตย ต้องอยู่ด้วยกัน ซึ่งเขาเก่งเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกันเพื่อไทยที่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นที่หนึ่ง กลับพลิก จึงกลายเป็นคนละฝันแบบที่อาจารย์ว่า แต่สิ่งสำคัญวันนี้ ผมเริ่มชัดว่า ก้าวไกลอาจจะรู้ตัวเหมือนกันว่าอาจไปไม่ถึงดวงดาว ในเรื่องของการเป็นนายกฯ เพราะฉะนั้นอำนาจหลักอย่าง อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ ถ้าอย่างน้อยไม่มีอำนาจบริหาร ยังมีอำนาจนิติบัญญัติ ด้วยการเป็นประธานสภาฯ เพื่อเสนอวาระต่างๆ ที่สัญญากับประชาชนไว้ได้ แต่ไม่รับก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ปัญหาคือ ถ้าก้าวไกล ได้ประธานสภาฯ แต่ก้าวไกลดันได้เป็นฝ่ายค้าน นายกฯ เป็นคนจากอีกพรรคหนึ่ง มันเกิดขึ้นได้ แต่อาจจะทำงานยากมาก
ผศ.ดร.โอฬาร มองว่า สำหรับผมมองว่า ยังโอเค ถ้าก้าวไกลได้ประธานสภาฯ แต่โหวตนายกฯ ไม่ได้ และพรรคอันดับ 2 อย่างเพื่อไทย ได้นายกฯ เพราะอย่างน้อยก็เป็นฝั่งประชาธิปไตยเหมือนกัน ซึ่งต้องยอมรับว่า การก้าวมาของ "ก้าวไกล" ทำให้ชนชั้นนำหลายกลุ่มกังวลใจมากว่า นโยบายของเขาจะไปทำลายโอกาสในเชิงโครงสร้าง อาทิ กองทัพ ระบบราชการ กลุ่มทุนผูกขาด ซึ่งก้าวไกลถอยไม่ได้ คนกลุ่มนี้ก็ต้องใช้อำนาจที่มีรักษาตำแหน่ง แห่งที่ทางการเมือง ที่พอจะประคับประคองสถานะของตัวเองไว้ได้ ไม่มีทางเลือกอื่น ดีว่า "เพื่อไทย" ในเวลานี้
นายสุรนันทน์ เผยต่อว่า ในมุมตัวเองรู้สึกผิดหวัง เพราะประชาชนเลือกก้าวไกล และเพื่อไทย เพราะต้องการการเปลี่ยนแปลง การเมืองใหม่ แต่มาวันนี้เห็นแต่ฉันขอตำแหน่ง ต้องการโควตา จริงๆ แล้วเราอยากเห็นบรรยากาศที่ 8 พรรคมานั่งคุยกัน แล้วมาลิสต์ว่า ใครเหมาะสมในการนั่งประธานสภาฯ รองประธานสภาฯ ให้เห็นว่าซีกการเมืองใหม่ ไม่ต้องมานั่งแบ่งโควตา แต่มองว่าใครเหมาะสมมากกว่า ตนไม่ได้ต่อต้าน "หมออ๋อง" ปดิพัทธ์ สันติภาดา แต่ก็มองว่า มีอีกหลายคนที่เหมาะจะเป็นประธานสภาฯ
ดังนั้น ถ้าเริ่มที่การขอโควตา ประชาชนเบื่อ ต่อไปใครจะขอเป็นรัฐมนตรีคลัง คุมกระทรวงเศรษฐกิจ กว่าจะถึงรัฐมนตรีช่วย มันจะทำให้เกิดบรรยากาศเบื่อหน่ายทางการเมือง และอาจไปเข้าทางกลุ่มอนุรักษนิยม ซึ่งเรารู้กันอยู่ว่า ทั้งในและนอกสภาฯ มันจะมีกระบวนการสอดแทรก จึงควรนั่งคุยกันให้จบ
ผศ.ดร.โอฬาร เผยว่า ตนเห็นด้วยกับ นายสุรนันทน์ ว่า ถ้าคุยกันได้ตั้งแต่ต้น เอกภาพของว่าที่พรรคร่วม 312 เสียง จะไม่เป็นปัญหาเลย เพื่อให้เป็นข้อตกลง ซึ่งที่ผ่านมา เราอยู่กับการเมืองแบบเก่าที่เป็นไสยศาสตร์ คาดเดาอะไรไม่ได้ ขึ้นอยู่กับอำนาจบางอย่างที่คนชี้นำ แต่การเมืองสมัยใหม่ ต้องการหลักการเป็นตัวชี้นำ พอวางหลักการเป็นตัวชี้นำ อยู่ๆ จะมาบอกว่า "ขอ" ไม่ได้ เพราะวางหลักการไว้เอง
นายสุรนันทน์ เสริมว่า เวลานี้ ควรเอาคนที่เหมาะสมอยู่ในตำแหน่ง และไม่ใช่แค่ตำแหน่งนี้ ยังรวมไปถึงรัฐมนตรี ประชาชนก็คาดหวังคนที่จะเหมาะสมด้วย เริ่มต้นที่ประธานสภาฯ ไม่ใช่เหมือนเด็กเล่นขายของกัน.
ติดตามได้ในรายการเปิดปากกับภาคภูมิ เวลา 15.30 น. ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32