กรณีวิวาทะกันด้วยเรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยที่ยืดเยื้อมานานจนอาจไม่สามารถร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ ทำให้มีการเสนอสูตรรัฐบาลใหม่ๆขึ้นมาหลายสูตร เช่น สูตรที่ 2 มีพรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้ ส.ส.มาเป็นอันดับ 3 เป็นแกนนำ และสูตรรัฐบาลขั้วเดิม
สูตรที่มีเสียงวิจารณ์มากสุด คือสูตรที่ให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นนายกรัฐมนตรี และอาจจะดึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำมาร่วมรัฐบาลด้วย แต่พรรค พปชร. มี ส.ส. แค่ 40 คน พรรค รทสช. 36 คน รวมเป็น 76 เสียง จะตั้งรัฐบาลได้หรือ
ทั้งสองพรรคมี ส.ส.รวมกันได้แค่ 76 เสียง จึงต้องดึง ส.ว.มาหมดทั้ง 250 คน รวมเป็น 326 เสียง แต่ยังเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ต้องดึงพรรค ภท. ที่มี ส.ส. 71 คน รวมเป็น 397 เสียง จึงจะจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่จะเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” เพราะมี ส.ส.แค่ 147 คน ไม่เกินกึ่งหนึ่งในสภาฯ
คอการเมืองส่วนใหญ่คัดค้าน การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะเชื่อว่าจะอยู่ได้แค่ไม่กี่น้ำ รัฐบาลต้องลาออกถ้าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณไม่ผ่านสภาหรือฝ่ายค้าน ซึ่งมีถึง 353 เสียง อาจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจล้มนายกรัฐมนตรีได้ในวันเดียว แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลเสียงข้างน้อยทำได้
แต่รัฐบาลตาม “สูตรเนติบริกร” จะต้องไม่เป็นเสียงข้างน้อยอยู่นาน ตั้งรัฐบาลเสร็จให้รีบเชิญชวนพรรคต่างๆ เข้าร่วม กลายเป็นเสียงข้างมากทันที นักการเมืองส่วนใหญ่ชอบเป็นรัฐบาล เพราะเป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง เป็นรัฐบาลปากมัน รัฐบาลข้างน้อย “ดูด” ส.ส.มาแค่ 104 ก็เป็นข้างมากทันที
การดูด ส.ส.แค่ร้อยกว่าคน ไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงสำหรับนักการเมืองไทย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีการปล่อยข่าวบางพรรคเตรียมซื้อ ส.ส.งูเห่า 60 คน หัวละ 100 ล้านบาท แม้จะแซวกันว่าผู้ถูกซื้อเป็นงูเห่า ผู้ซื้อเป็น “ควาย” แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับการเมืองไทย
...
เหตุที่สูตรรัฐบาลใหม่ๆส่วนใหญ่ พุ่งไปที่ “บิ๊กป้อม” อ้างว่า เพราะเป็น “รัฐบาลปรองดอง” ตามคำขวัญ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” อาจมีคนสนับสนุนไม่น้อย แต่คนส่วนใหญ่อาจวิพากษ์รุนแรง ถึงอาจสาปแช่ง เพราะเป็นการตั้งรัฐบาลที่ไม่เคารพเสียงประชาชน มองไม่เห็นหัวประ ชาชน และทำลายประชาธิปไตย.