“นพ.เจตน์” มอง เส้นทาง “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ยาก แต่ติดกับดักเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ชี้ กลุ่ม 23 ส.ว. จ่อปิดสวิตช์ตัวเองไม่ว่าจะเสนอชื่อใคร เผย ส.ว.บางคนบอกพรรคก้าวไกล ไม่ต้องมาคุยให้เสียเวลา 

วันที่ 25 มิถุนายน 2566 นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ให้สัมภาษณ์ถึงความเคลื่อนไหว ส.ว.ในช่วงนี้ที่วันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ว่า สำหรับตนไม่ค่อยได้คุยกับเพื่อน ส.ว.คนอื่น เพราะปิดสมัยประชุม ส่วนข้อมูลที่ได้ยินได้รับฟังมาก็มีน้อย จึงไม่สามารถพูดเเทน ส.ว.กลุ่มต่างๆ ได้ 

ต่อมาผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า การเจรจา ส.ว.ให้สนับสนุน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะเเคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กำลังเป็นไปในทิศทางบวกมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ผ่านมาเคยมีคนของพรรคก้าวไกลโทรศัพท์มาพูดคุยให้ช่วยโหวต นายพิธา หรือไม่ นพ.เจตน์ ตอบว่า ส่วนของตนไม่มี แต่ ส.ว.บางคนได้ยินว่ามี ส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะของการมาขอชี้แจงเรื่องการแก้ไข มาตรา 112 ซึ่งก็ถูกปฏิเสธไป เพราะ ส.ว.เขาบอกว่ารู้ว่าการแก้ไข 112 มีเหตุมีผลอย่างไร และได้ฟังจากสื่อ ฟังจากทั้ง 2 ฝ่ายแล้วเขาได้ข้อยุติ เขารู้ว่าเป็นอย่างไร เพราะอย่างนั้น ส.ว.เขาก็บอกว่าไม่ต้องมาชี้แจง เสียเวลา นี่คือการฟังจาก ส.ว.บางคน แต่ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อว่าใคร ส.ว.คนไหน

ส่วนสถานการณ์วันโหวตนายกรัฐมนตรีมีการประเมินว่า ม็อบจะมาล้อมรัฐสภาเพื่อกดดันให้ ส.ว.โหวต นายพิธา ในส่วนของแรงกดดันภายนอกรัฐสภาส่งผลต่อการตัดสินใจของ ส.ว.หรือไม่นั้น นพ.เจตน์ ตอบว่า ส.ว.คนอื่นตอบแทนเขาไม่ได้ แต่ส่วนตัวตลอด 10 ปี เราก็เจอมาตลอด ตั้งแต่ม็อบเสื้อแดง หรือม็อบช่วง 4 ปีที่ผ่านมา กรณีอย่างนี้เราก็ต้องมีความคิด ไม่หวั่นไหว และหวั่นไหวไม่ได้ เพราะโดยตำแหน่งหน้าที่เรา และคิดว่า ส.ว.ส่วนใหญ่ ไม่น่าจะหวั่นไหว แต่ก็ตอบแทนคนอื่นไม่ได้

...

“คิดว่ามีม็อบแน่ เป็นหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต้องวางแผนมาตรการป้องกันเตรียมไว้ ซึ่งการที่มาชุมนุมต้องชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ถ้าจะมาชุมนุมแล้วจะมาก่อความวุ่นวาย คุกคามอะไรอย่างนี้ ถ้าทำผิดกฎหมายเจ้าหน้าที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เขาก็ต้องทำตามกฎหมายและอำนาจหน้าที่”

ส่วนคำถามว่า อยากส่งสัญญาณอะไรถึงพรรคก้าวไกลหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์ ส.ว.อย่างหนัก แต่วันนี้กำลังโน้มน้าวให้ ส.ว.โหวตให้ นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี นพ.เจตน์ เผยในเรื่องนี้ว่า เขาติดล็อกตัวเขาเองเรื่องมาตรา 112 จริงๆ เส้นทางในการเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายพิธา ไม่ยากจนเกินไป เพียงแต่ต้องปลดล็อกเรื่องของการแก้ไขมาตรา 112 ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี 

“การติดล็อกตัวเองด้วยการที่ประกาศไว้ ถึงแม้ว่าใน MOU พรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรค จะไม่มีการแก้ไข 112 แต่ว่าก็จะให้พรรคก้าวไกลเสนอเอง อย่างนี้ก็เท่ากับว่าแตะ แล้วก็แสดงถึงเจตนารมณ์ของตัวเขาและเจตนารมณ์ของพรรคก้าวไกลในเรื่องของสถาบัน ฉะนั้นในฐานะที่ผมก็ยึดมั่นอยู่กับสถาบัน ถือว่าตรงนี้มันเป็นสิ่งที่มันไม่สมควร ก็ต้องการให้เขาประกาศให้ชัดเจน หรือเรื่องที่มีเพื่อน ส.ว.บางคน บอกว่าให้ไปหา 376 เสียงมาสิคุณ ไม่ต้องมาพึ่ง ส.ว. อีกทั้งยังมี ส.ว.อีกกลุ่มหนึ่ง ที่จะปิดสวิตช์ทุกกรณี ไม่ว่าทาง ส.ส.จะเสนอใครมาก็ตามที่มาให้โหวตเป็นนายกฯ เขาก็จะงดออกเสียงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะซีกไหน เขาจะปิดสวิตช์ตัวเขาเอง นี่เป็นความคิดของ ส.ว.อีกกลุ่มหนึ่ง”

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า กลุ่มที่จะปิดสวิตช์ตัวเองมีกี่คน ที่ไม่ว่า ส.ส.จะเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อย่างเช่น นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ หรือ นายพิธา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ก็จะปิดสวิตช์ตัวเอง นพ.เจตน์ ตอบว่า บอกจำนวนแน่ชัดไม่ได้ แต่คิดว่าคงไม่น้อย ก็ต้องยอมรับเป็นความคิดของเขา เพราะว่ากลุ่มนี้เวลาที่มีการเสนอญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เขาก็โหวตให้กับคนเสนอกฎหมายมาโดยตลอด ก็น่าจะอยู่ใน 23 คนนั้น ให้ลองไปดู แต่ก็ไม่ใช่ 23 เป๊ะ ก็ให้ไปดูในกลุ่มนั้น ซึ่งอาจจะรวมคนนอกกลุ่มด้วยก็ได้ คงประเมินไม่ถูกหรอก.