“ชาดา ไทยเศรษฐ์” เท้าเจ็บต้องใส่รองเท้าแตะถือไม้เท้า เข้ารับหนังสือรับรอง ส.ส. บอกทิศทางโหวตนายกฯ ก็เขาไม่เอาเรา ชี้ต้องดูมติพรรคร่วมด้วย แต่ส่วนตัวเอาใจช่วย “พิธา” วอนสื่อและด้อมต่างๆ อย่าเล่นกันจนเกินเหตุ เปรียบการเมืองตอนนี้เป็นกีฬา
วันที่ 22 มิถุนายน 2566 เวลา 14.19 น. นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี เขต 2 จังหวัดอุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เดินทางมารับเอกสารรับรอง ส.ส. จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. โดยวันนี้ นายชาดา เดินทางมาพร้อมกับไม้เท้า และใส่รองเท้าแตะ เพราะเท้าของ นายชาดา เป็นแผล จากการไปสะดุดฟุตปาธล้มที่ จ.เชียงใหม่
หลังรับหนังสือ นายชาดา ออกมาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงท่าทีในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดย นายชาดา บอกว่า “ก็เขาไม่เอาเรานี่ครับ แล้วเราจะไปโหวตให้เขาได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูมติพรรคร่วมด้วยนะ”
นายชาดา บอกว่า พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่อยู่ในระเบียบและกติกาตลอดเวลา ซึ่งตอนนี้เรื่องการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ทางพรรคยังไม่ได้มีการประชุมและหารือกัน ซึ่งโดยส่วนตัวตัวเองขอเอาใจช่วย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ไวๆ ซึ่งตัวเองพร้อมที่จะเป็นได้ทุกฝ่าย ที่ผ่านมาตัวเองเคยเป็นฝ่ายรัฐบาลมา 3 ครั้ง และเป็นฝ่ายค้านครั้งนี้คือครั้งที่ 4 ซึ่งก็ถือเป็นวาสนา
...
นายชาดา ยังได้พูดถึงสื่อมวลชนและด้อมต่างๆ ด้วยว่า ตอนนี้ทั้งสื่อมวลชนและด้อมเล่นกันจนเกินเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีกติกา ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็อย่าไปอะไรนักเลย ถ้าถึงเวลายังไงก็หนีไม่พ้นที่พรรคอันดับ 1 จะต้องจัดตั้งรัฐบาล หลังจากนี้ต้องรอทั้งวันรายงานตัว เปิดสภา และนัดประชุมกัน ส่วนคุณสมบัติของ นายพิธา เรื่องการถือหุ้นไอทีวี เป็นเรื่องส่วนตัว ตัวเองก็ไม่สามารถจะตอบอะไรได้ ก็ต้องให้กรรมการกลางตรวจสอบไป
อีกทั้งวันนี้คนไทยเหมือนกำลังหลงประเด็น นอกจากนี้ นายชาดา ได้เปรียบเปรยการเมืองตอนนี้กับกีฬา ที่คนในสังคมมองว่า กีฬาต้านยาเสพติด สร้างพลานามัย แต่จริงๆ แล้วกีฬาคือทักษะความเป็นมนุษย์ มีทั้งการแข่งขัน คู่ต่อสู้ และลูกทีม ซึ่งเราต้องให้เกียรติทุกคนในทีม นอกจากนี้ยังมีกรรมการ และมีเวลาในการเล่น พอหมดเวลาเล่น มีการประกาศผลการแพ้-ชนะแล้วก็ต้องจบ และเดินไปตามครรลอง แต่วันนี้สังคมไทยกำลังลืมถึงทักษะความเป็นมนุษย์
หลังจากนั้น นายชาดา ได้ร้องเพลงกราวกีฬาให้นักข่าวฟัง เพราะตัวเองอยากให้สังคมไทยน่าอยู่ พร้อมกับบอกว่า “คนที่เป็นคู่ต่อสู้จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกัน มีอะไรจึงอยากให้ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน และควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตราบใดที่กรรมการยังไม่เป่านกหวีดก็อย่ามาบีบสังคมให้เดินไปตามใจตัวเอง”.