"ทนายอั๋น" จี้ DSI ลุยสอบ "เรืองไกร" เข้าข่ายฟอกเงิน หรือไม่ ปม ครอบครองเบนซ์หรู S 560 อ้าง "ผู้ใหญ่ใจดี" มอบให้ พร้อมแคชเชียร์เช็ค 25 ล้าน โยง กรณี ยื่นคำร้องต่อ กกต.ตรวจสอบ "พิธา" ขาดคุณสมบัติ จากถือหุ้นไอทีวี อาจเข้าข่ายแจ้งความเท็จ
วันที่ 21 มิ.ย. ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กทม. นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ "ทนายอั๋น บุรีรัมย์" เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ตรวจสอบการกระทำของ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เข้าข่ายเป็นการกระทำฐานฟอกเงินหรือไม่
ทนายอั๋น เปิดเผยว่า วันนี้ตนมายื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบนายเรืองไกร โดยได้แนบเอกสารของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 2 ฉบับ ประกอบด้วย 1.คำร้องขอให้ กกต. ตรวจสอบข้อเท็จจริง ฉบับลงวันที่ 12 มิ.ย.66 และ 2.ภาพถ่ายบรรดาทรัพย์สินของ นายเรืองไกร เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า คำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ได้ยื่นคำร้องและนำเสนอพยานหลักฐาน ต่อ กกต. ว่า "นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" เป็นบุคคลผู้ขาดคุณสมบัติ การรับสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือไม่ อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิด ฐานแจ้งความอันเป็นเท็จ ต่อ กกต. หรือไม่ ทั้งนี้ ตามที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 มาตรา 143 นั้น และจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสื่อสารมวลชนทุกแขนง เป็นที่ทราบดีว่า นายเรืองไกร มีฐานะเป็นบุคคลสาธารณะ ผู้ทำการเคลื่อนไหวในฐานะนักร้องเรียนทางการเมือง ซึ่งได้เคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวมาหลายปี และได้โชว์ทรัพย์สินมีค่า เช่น รถยนต์หรูหลายคัน ที่มักจะประกาศว่าได้มี “ผู้ใหญ่ใจดี” ซื้อให้ รวมทั้งบ้านราคาแพง เป็นต้น หากปรากฏว่า นายเรืองไกร กระทำผิดในฐาน “แจ้งความเท็จต่อ กกต. เพื่อให้บุคคลต้องรับโทษดังกล่าว ดังนั้น จึงขอให้ดีเอสไอช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยให้เรียกหรือสอบสวนพยานหลักฐาน พยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง จาก กกต. หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตาม อำนาจหน้าที่"
...
ทนายอั๋น เผยอีกว่า ตนอยากให้ดีเอสไอดึงเรื่องจาก กกต. มาเป็นคดีพิเศษ ในความผิดมูลฐานฟอกเงิน เพราะการครอบครองรถเบนซ์หรู และเรื่องแคชเชียร์เช็ค 25 ล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมานายเรืองไกรมีบทบาทในฐานะสาธารณะบุคคลนักร้องเรียน อีกทั้งบรรดาทรัพย์สินที่ผ่านมา อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหรือไม่ โดยต้องการให้มีการตรวจสอบย้อนหลัง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าท้ายสุดคุณสมบัติของนายพิธาจะเป็นอย่างไร ในข้อเท็จจริงที่นายเรืองไกรเสนอต่อ กกต. ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความผิดจากมาตรา 143 ได้ ตนจึงหวังให้ดีเอสไอเรียกสำนวนจาก กกต. มาสอบสวนรอไว้ หรือรอในส่วนของ กกต.แล้วเสร็จก่อนก็ได้ หรือจะรอผลมติของ กกต. แล้วค่อยนำส่งไป ยัง ปปง. เพื่อพิจารณาในส่วนของการฟอกเงินต่อไป
เมื่อถามว่า วันนี้นำพยานหลักฐานอะไรมาเพิ่มเติมบ้างหรือไม่ นอกจากที่ปรากฏในหน้าสื่อนั้น ทนายอั๋น ระบุว่า วันนี้มีเพียงสองอย่างที่ตนแนบมา ซึ่งก็ปรากฏตามหน้าสื่อ เพราะทรัพย์สินมากมายที่นายเรืองไกรมี ที่มามาจากไหนอย่างไร ในเมื่อนายเรืองไกร ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร นอกจากการเดินเรื่องร้องเรียน ส่วนกรณีที่นายเรืองไกร อ้างว่า ได้รับมาจากภรรยา เมื่อถึงขั้นตอนตรวจสอบ ก็จำเป็นต้องมีการดูถึงพฤติการณ์เงินเข้า-เงินออกภายในบัญชีธนาคาร และทั้งคู่จะต้องให้การกับ ปปง. ชี้แจงการได้มาของทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม ภาระการพิสูจน์ไม่ใช่ของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ตัวบุคคลเองที่จะต้องพิสูจน์เรื่องที่มาทรัพย์สิน
ทั้งนี้ ทนายอั๋น ระบุปิดท้ายว่า ส่วนประเด็นที่ตนไม่แจ้งความนายเรืองไกร เรื่องที่ปลอมแปลงเอกสาร เพราะตนไม่อยากเสียเวลา เพราะตนไม่รู้ว่า นายเรืองไกร ยื่นเอกสารอะไรบ้างกับ กกต. และฝากบอกนายเรืองไกร ว่าต่อให้นายพิธา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หรือเมื่อถึงวันนั้น ตนจะไม่มีกองเชียร์ฝ่ายส้มสนับสนุน ยืนยันว่าจะไม่มีวันปล่อยนายเรืองไกรแน่นอน รวมถึงเรื่องของทนายตั้มด้วย ตนจะไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบซา เพราะการดำเนินการเหล่านี้ ตนทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ และต้องการทำให้ประเทศไทยดีขึ้น จึงขอลุกขึ้นมาต่อสู้เอง.