“ศิธา ทิวารี” ปูด มีขบวนการเบื้องหลังคอยขัดขา “พิธา” ชี้ “เรืองไกร” ยอมรับเอง มีนักการเมืองเกี่ยวข้อง แต่ต้องให้ กกต. มาถาม ยัน ไม่กังวล กกต. แขวนชื่อ ส.ส. ให้เวลาทำงาน
วันที่ 15 มิถุนายน 2566 น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย มีว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่รับรอง ว่า ต้องให้เวลา กกต. และมองในแง่บวกว่าพรรคจัดตั้งรัฐบาลได้ ส.ส.มาเยอะ การรับรองจึงต้องใช้เวลานาน แต่กฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องรับรองให้ได้ 95% ภายใน 60 วัน ก็ต้องทำให้ได้ตามนั้น อีกทั้ง กกต. ก็คงต้องดูทั้งทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ บางเรื่องถ้าตึงเกินไปก็ไม่ได้ ถ้าหย่อนเกินไปก็จะหละหลวม ต้องพิจารณาด้วยความพอดี และเชื่อว่าทุกคนก็หวังดีต่อประเทศชาติ และทาง 8 พรรคร่วมเองก็ยังไม่ได้หารือใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
ส่วนกรณีการร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เรื่องการถือหุ้นสื่อไอทีวี (itv) ที่มองว่า มีผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งใหญ่กว่า นายนิกม์ แสงศิรินาวิน อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย โดยระบุว่า ทุกคนน่าจะทราบกันอยู่แล้วว่ามีลักษณะของการแบ่งงานกันทำ โดยมีธงเป็นจุดมุ่งหมายไว้ แม้กระทั่งเมื่อวานนี้ (14 มิถุนายน) ตนได้ร่วมรายการลักษณะคล้ายกับการดีเบต ก็จะได้ยินบางคำ เช่น “ดูซิว่า พรรคก้าวไกลจะดึงพรรคร่วมไว้ได้นานแค่ไหน” คำพูดแบบนี้ส่อให้เห็นสิ่งที่ตั้งใจได้ชัดเจน
“อยู่เฉยๆ ปล่อยให้เขาจัดตั้งรัฐบาลไป คำพูดแบบนี้ทำให้เราต่อจิ๊กซอว์เห็นภาพใหญ่ ถึงกลไกที่คุณฝังไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น คุณเอา ส.ว. 250 คน มาฝังไว้ คุณก็อยู่เฉยๆ แน่นอน คุณไม่พูดอะไรแน่นอน พูดแบบสวยๆ หล่อๆ แน่นอน แต่ปล่อยให้กลไกที่คุณฝังเอาไว้ทำงานของมันเอง แล้วคุณก็ลอยตัวเหมือนว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง ทั้งที่ประชาชนรู้”
...
ขณะเดียวกัน น.ต.ศิธา ยังย้ำด้วยว่า ขบวนการนี้เป็นการขัดขวางประชาธิปไตยของประเทศไทยไม่ให้เดินหน้า และไม่ว่าจะมีอีกกี่ด่านที่มาขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาล ทั้งหมดล้วนเป็นพิธีกรรมที่มีธงอยู่แล้วว่าจะให้การเมืองของประเทศมีทิศทางไปทางไหน สิ่งที่ป้องกันได้คือให้ประชาชนรู้เท่าทัน และเขาจะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำมีต้นทุนที่สูง
สำหรับกรณีที่ น.ต.ศิธา เคยเผยว่า การยื่นเอกสารของ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อาจมีนักการเมืองหนึ่งอยู่เบื้องหลัง น.ต.ศิธา ชี้แจงว่า ได้ยินข่าวมาแต่ก็ค่อนข้างชัดเจนจึงกล้าเปิดเผย ขณะที่ นายเรืองไกร ก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ แต่ให้ กกต. เป็นผู้มาถามตนว่านักการเมืองคนนั้นเป็นใคร ตนเป็นเพียงผู้เปิดประเด็น ซึ่งขั้นแรก นายเรืองไกร ก็ยอมรับว่ามี แต่ไม่เปิดเผยชื่อ
เมื่อถามต่อไปว่ารู้ชื่อย่อของบุคคลนั้นแล้วหรือไม่ น.ต.ศิธา ระบุว่า ได้ยินมา แต่ไม่ถึงกับรู้ชื่อ อยู่ในกระบวนการที่เคลื่อนไหวเดียวกัน หรืออาจจะเป็นคนเดียวกันเลยก็ได้ และเข้าใจว่าเป็นผู้เปิดประเด็นคนละประเด็นกัน ถ้าหากมีการปฏิเสธก็จะยิ่งทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่ามีการจัดสรรแบ่งงานกันทำจากแหล่งเดียวกัน โดยส่งตัวแทนไปดำเนินการ.