คนไทยยังตั้งตารอ “คณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.)” ประกาศรับรองผลนับคะแนนอย่างเป็นทางการเพื่อเข้าสู่ “การสรรหาประธานสภาผู้แทนราษฎร” ก่อนขับเคลื่อนสู่กระบวนการโหวตเลือก “นายกรัฐมนตรี และตั้งคณะรัฐมนตรี” เข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศโดยเร็ว
แต่ด้วยเงื่อนไข “การเลือกนายกฯ” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 (รธน.2560) กำหนดให้ที่ประชุมรัฐสภาของ ส.ส. 500 คน และ ส.ว.250 คน “ลงมติเห็นชอบ 376 เสียงขึ้นไป” แล้วด้วยผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ “พรรคก้าวไกล” แม้มีคะแนนเสียงสนับสนุนสูงสุดได้ “ส.ส.151 ที่นั่ง” ก็ยังไม่อาจการันตีความสำเร็จการตั้งรัฐบาลได้
ต้องจับขั้วกับ 8 พรรค “ฟอร์มทีมได้ 312 เสียง และขาดอีก 64 เสียง” จนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อ “การตั้งรัฐบาล” อาจต้องหาโอกาสดึงเสียง ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่น หรือขอคะแนนเสียงจาก ส.ว.เข้ามาเพิ่มเติม
ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายเพราะ “ส.ส.และ ส.ว.มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน” ทำให้ช่วงที่ผ่านมามีกระแสการปลุกระดมบีบกดดัน ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกฯ ให้เป็นไปตามฉันทามติเสียงประชาชนส่วนมาก กลายเป็นสัญญาณให้หลายฝ่ายต้องจับตามองทิศทางการเมืองไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนับจากนี้จะไปในทิศทางใด
...
รศ.ดร.วิทยาธร ท่อแก้ว ประธานกรรมการบริหารหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอก แขนงวิชานวัตกรรมการสื่อสารทางการเมืองและการปกครองท้องถิ่น ม.สุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ “คนรุ่นใหม่” สนับสนุนพรรคก้าวไกลเกินคาดหมาย อันเกิดจากนำเสนอแนวทางการทำงานนโยบายโดนใจคนส่วนใหญ่
ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจาก “รัฐบาลรุ่นเก่า” ที่สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาบริหารประเทศเป็นเวลายาวนาน “อันมีลักษณะรูปแบบเดิมๆ” เมื่อเกิดพรรคการเมืองหน้าใหม่ย่อมทำให้โดดเด่นขึ้นมาทันที
ส่วนหนึ่งมาจาก “ความเบื่อหน่ายกับการบริหารแบบเดิม” แม้รัฐบาลชุดนั้นจะเคยบริหารสำเร็จบางส่วนก็ตาม ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “คนไทย” กำลังขาดความไว้วางใจกับพรรคการเมืองรุ่นเก่าจนหันหาพรรคการเมืองรุ่นใหม่ อันมีความหวังว่าจะมีสิ่งแปลกใหม่นำพาประเทศเดินไปตามความต้องการนั้นได้
กลายเป็นหัวใจสำคัญ “การตัดสินใจสนับสนุนคนรุ่นใหม่นั้น” ที่ล้วนเกิดจากอารมณ์ความรู้สึกอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง “ใช้สื่อโซเชียลฯ” เป็นเครื่องมือองค์ประกอบกระจายข้อมูลสู่ “กลุ่มเป้าหมาย” แต่ก็ไม่ใช่ว่าสื่อเก่า-สื่อใหม่เป็นตัวกระตุ้นให้การเลือกตั้งคราวนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่หลายคนเข้าใจกัน
ประการถัดมากรณี “ส.ส. ส.ว.มีสิทธิโหวตเลือกนายกฯ” เป็นกติกาถูกกำหนดตาม รธน.มาตั้งแต่ปี 2560 “นักการเมืองทุกพรรคเข้าใจเงื่อนไขตรงนี้ก่อนลงสมัครเลือกตั้งแล้วด้วยซ้ำ” เช่นนี้ทำให้ต้องเดินไปตามขั้นตอนปล่อยเป็นดุลพินิจของ ส.ส.หรือ ส.ว.พิจารณาโหวตนายกฯเสียงข้างมากในการเลือกตั้งหรือไม่
ส่วนผลลัพธ์จะออกมาแบบใด “คนไทยก็ต้องยอมรับกับมติ” เหมือนดั่งการยอมรับผลการเลือกตั้งมาก่อนนั้น แล้วมิใช่ว่าจะใช้ช่องทางการสื่อสารประณามผู้ไม่แสดงการโหวตรายวัน หรือกดดัน บีบบังคับ และชี้นำให้บุคคลใดทำการลงคะแนนเสียง หรือไม่ลงให้ใครได้ เพราะจะกลายเป็นการเลือกปฏิบัติไม่ยอมรับกับกติกา
ฉะนั้นควรปล่อยตาม รธน.ที่ให้อำนาจ ส.ส.โหวตเลือกนายกฯ ร่วมกับ ส.ว.ในที่ประชุมรัฐสภา แม้ว่านักการเมืองบางคนจะไม่ชอบใจกับกลไกนี้แต่เมื่อ “การเมือง” ถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้กติกานี้ “ทุกคนควรต้องยอมรับ” แล้วฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลควรหันหาวิธีการสื่อสาร เจรจาต่อรองอย่างอื่น เพื่อให้บรรลุผลตามที่ต้องการนั้นดีที่สุด
ทว่าต้องยอมรับ “ความสวยงามของประชาธิปไตย” มักมาจากการให้ ข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน และยอมรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย “แต่ไม่ใช่ใช้พลังเสียงที่มองไม่เห็นนอกสภาฯ โจมตีกดดันอย่างทุกวันนี้” ที่อาจทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายในการแย่งชิงอำนาจหลังการเลือกตั้งผ่านไปได้ไม่นาน
แถมยังส่งผลกระทบให้เกิดความไม่สง่างามของการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตยอีกด้วย
เหตุนี้อยากให้ “คนไทยใจเย็น” ประเทศไทยกำลังผ่านการเลือกตั้งไปไม่กี่วัน อีกทั้งกระบวนการทุกอย่างก็ยังเดินตามเส้นทางกติกาตามเงื่อนไขใน รธน.กำหนดไว้ปกติ ทำให้ไม่จำเป็นต้องออกมากดดันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
โดยเฉพาะการสื่อสารทางการเมืองควรต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย เพราะมักสร้างกระแสก่อให้เกิดการรวมตัวของการเลือกข้าง “ลุกลามเป็นสงครามการสื่อสาร” กลายเป็นความรู้สึกเกลียดชังจนถูกปลูกฝังในใจของแต่ละคน ส่งผลในเชิงลบต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งปราศจากความสงบสุขของบ้านเมืองตามมาได้
สังเกตช่วงที่ผ่านมา “หลายครั้งคนไทยใจร้อน” มักนำพาสู่การนำมวลชนออกมาต่อต้านรัฐบาลนำมาซึ่งความเจ็บปวดจาก “การปฏิวัติระหว่างทางครบวาระ 4 ปี” ทำให้ประเทศเกิดความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉะนั้นคราวนี้ “ถ้าผู้ถูกวางตัวไม่ได้เป็นนายกฯ” หากเป็นคนดีจริงเชื่อว่าครั้งหน้าอาจรับคะแนนแบบแลนด์สไลด์ก็ได้
“ตอนนี้คนไทยอย่าเพิ่งใจร้อนปล่อยให้การโหวตเลือกนายกฯ หรือการตั้งรัฐบาลเป็นไปตามกลไกกระบวนการ รธน.เพื่อไม่ให้ต้องตกเป็นเครื่องมือถูกปลุกปั่นก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อกัน กลายเป็นการเมืองบนท้องถนนจนต้องเลือกข้างนำไปสู่ความขัดแย้งห้ำหั่นกันขึ้น สุดท้ายก็จะปราศจากสิทธิเสรีภาพตามปกติ” รศ.ดร.วิทยาธรว่า
ประการถัดมาความคาดหวังจาก “รัฐบาลชุดใหม่” ประการแรกควรต้องฟื้นฟูประเทศโดยเร็วในหลายมิติอย่างบูรณาการควบคู่กันไป “ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิตของประชาชน และการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น” เพราะสิ่งนี้มีความสำคัญอันเกี่ยวโยงผูกพันกับการพัฒนาประเทศ
ย้ำแม้ว่า “พรรคร่วมรัฐบาลแบ่งกระทรวงบริหาร” แต่ผู้นำประเทศคนใหม่ต้องกำหนดเป้าหมาย ด้วยการนำความคิดเห็นแต่ละคนแต่ละพรรคมาหล่อหลอมร่วมผลักดันพัฒนาประเทศ โดยไม่ใช่การแบ่งสันปันส่วน “อันนี้เป็นของพรรคฉัน และอันนั้นเป็นของพรรคคุณ” เพราะจะกลายเป็นสมบัติผลัดกันชมอย่างที่ผ่านมา
ฉะนั้นตอนนี้ “หมดยุคการแบ่งอำนาจบริหาร” แต่ควรเริ่มต้นทำความเข้าใจกับพรรคร่วมรัฐบาลให้เกิดเป้าหมายตรงกันนำไปสู่ “นโยบายของรัฐบาลแบบองค์รวม” อย่างไรก็ดีช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างไม่สบายใจกรณีว่าที่ ส.ส.ออกมาพูดว่า “ไม่ได้กระทรวงนี้พรรคจะทำตามนโยบายหาเสียงไม่ได้” สิ่งนี้เป็นการบริหารประเทศสมัยเก่า
ยิ่งกว่านั้นการบริหารแบบสมัยเก่า “ยังใช้งบประมาณซ้ำซ้อน” จนการใช้จ่ายงบประมาณบิดเบือน รั่วไหล หรือใช้ไปไม่เกิดประโยชน์หรือเกิดความคุ้มค่าสูงสุดกับประเทศและประชาชน
ฉะนั้นบุคคลที่ถูกวางตัวเข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” ต้องประชุมกอดคอร่วมกันกับพรรคร่วมรัฐบาลสร้างความเป็นทีมขับเคลื่อนประเทศดีกว่าการทำงานเป็นทีมผลักดันตามนโยบายของพรรคการเมืองตัวเอง
สังเกตจากที่ผ่านมา “การเสนอโครงการเข้าในที่ประชุม ครม.” มักใช้ เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง (Tactics) ลักษณะผลัดกันสนับสนุน “จนไม่มีการวิพากษ์ วิจารณ์โครงการของใคร” สุดท้ายส่งผลให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์น้อย ดังนั้นคาดหวังว่า “รัฐบาลใหม่” น่าจะมีมุมมองนำแนวคิดการทำงานแบบสมัยใหม่มาบริหารประเทศ
ยึดผลประโยชน์ “ประเทศ” สร้างการมีส่วนรวมของประชาชน และไม่เลือกปฏิบัติเฉพาะพื้นที่ฐานเสียงตัวเอง แต่เน้นพัฒนาทุกพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน-หลัง เพื่อเดินหน้าข้ามความขัดแย้งของคนในสังคมสู่การพัฒนาประเทศร่วมกันที่เรียกว่า “ทีมพัฒนาประเทศ” อันเป็นรูปแบบมาตรฐานการบริหารแบบสมัยใหม่
ฉะนั้นตอนนี้ “กระบวนการของประชาธิปไตย” ยังเดินหน้าตามกรอบกลไกกติกาของรัฐธรรมนูญ “คนไทย” ก็กำลังอยู่ในห้วงการรอความชัดเจน “อย่าตีตนไปก่อนไข้” เพราะอาจเป็นการสร้างเงื่อนไขสู่ความขัดแย้งอย่างไม่มีวันสิ้นสุดขึ้นได้