“นิกม์ แสงศิรินาวิน” ไม่ทราบ “เรืองไกร” ได้ข้อมูลหุ้นสื่อ itv มาจากไหน ยันไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว คัดลอกผู้ถือหุ้นแค่อยากรู้มีนักการเมืองคนไหนบ้าง ปัดมีคนหนุนหลัง ไหว้ขอโทษ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ทำให้ได้รับผลกระทบ
วันที่ 12 มิถุนายน 2566 นายนิกม์ แสงศิรินาวิน เปิดใจกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐทีวี ต่อประเด็นร้อนหลัง ได้ไปเปิดใจและยอมรับว่าตนเองเป็นคนใช้โทรศัพท์มือถือล็อกอินเข้าประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2556 แทนนายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้น ซึ่งขณะนั้นนายภาณุวัฒน์ ก็นั่งฟังการประชุมร่วมกัน ซึ่งหลังจากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปยอมรับว่า สภาพจิตใจและความรู้สึกตอนนี้ห่วงความปลอดภัยของคนรอบข้างมากกว่า เพราะตัวเองพร้อมที่จะรับกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น รู้ว่าการกระทำมีผลกระทบไม่ว่าจะเจออะไรขอให้มาเจอกับตัวเองจะดีกว่าอย่าไปยุ่งกับพ่อหรือ รุ่นน้องหากเป็นปัญหามากจะไปขอซื้อหุ้นมากลับคืนมาก็ยังได้
นายนิกม์ กล่าวอีกว่า การลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ได้ถือหุ้น อสมท. 20,000 หุ้น และหุ้นไอทีวี 17,000 หุ้นและอื่นๆ อีก ตอนนั้นยังถือว่าใหม่ในการเมืองจึงถามพรรคอนาคตใหม่ ว่าถือหุ้นทั้งหมดนี้จะต้องเคลียร์หรือโอนให้ใครก่อนหรือไม่ เพราะกฎของการลงสมัครเลือกตั้งจะต้องไม่มีการถือหุ้นสื่อแต่ทีมกฎหมายของพรรคบอกว่าไม่ต้องทำอะไร เพราะหุ้นที่ถือมีจำนวนน้อยไม่ได้ส่งผลกระทบ จึงถือหุ้นนั้นมาทั้งที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง จนเกิดเรื่องร้องเรียนกรณีของนายธนาธรถือหุ้นสื่อซึ่งตอนนั้นยอมรับว่าเริ่มใจไม่ดีเพราะกลัวว่าจะได้รับผลกระทบ แต่ก็ผ่านมาได้เพราะสอบตกไม่ได้เป็น ส.ส.
เมื่อถามว่าทำไมถึงตัดสินใจเปิดประเด็นของนายพิธา นายนิกม์ กล่าวว่าเมื่อปี 2562 ได้ทำแคมเปญ “กรุงเทพฯ ขยับ” ที่จะต้องส่องหาปัญหาในกรุงเทพฯ ในพื้นที่ต่างๆ และโพสต์ในโซเชียล ซึ่งตอนนั้นก็ได้โพสต์เรื่องของ itv พร้อมกับตั้ง คำถามว่า itv ปิดไปหลายปีแต่ไม่มีใครเยียวยาเลย จึงคิดว่าตัวเองหาเสียงกับผู้ถือหุ้น itv เป็น 10,000 กว่าคนหากได้เป็นรัฐบาลยังคิดว่า itv จะต้องได้กลับมา เพราะผ่านมา 10 กว่าปีทีวีเปลี่ยนผ่านมาเป็นระบบดิจิทัลและยังมีสัมปทานเหลือควรจะได้รับการชดเชย
...
นายนิกส์ ยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลังและไม่ใช่คนบงการนายภาณุวัฒน์ และมองว่าหุ้น itv ที่อยู่นิ่งมา 16 ปี นายพิธาถือหุ้นมาสมัครเป็น ส.ส และทำให้เกิดเรื่องเอง ไม่ใช่ตนเอง พร้อมย้ำว่าไม่มีนายทุนหรือบุคคลสำคัญคนไหนหนุนหลัง เพราะผู้ถือหุ้นอีก 10,000 กว่าคนก็ทราบข้อมูลนี้ และยอมรับว่าที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร พูดแทรกในรายการระหว่างที่ตนเองให้สัมภาษณ์รายการคุยนอกจอ รู้สึกตกใจและไม่คาดคิดว่านายวิโรจน์จะนั่งอยู่ในรายการ ส่วนที่นายวิโรจน์พูดทักท้วงมาเตือนให้ระวังถือเป็นการข่มขู่ เพราะพูดไปถึงว่าไม่มีส่งคนข้าวผัด ส่งโอเลี้ยงให้ เหมือนนายวิโรจน์จะรู้ล่วงหน้าว่าตนเองจะต้องติดคุก
ส่วนที่ขายหุ้นให้นายภาณุวัฒน์ เพราะเป็นรุ่นน้องที่ทำงาน คิดว่าหุ้น itv ขายให้ใครก็ไม่มีใครซื้อเพราะไม่มีมูลค่าจึงขายพ่วงให้กับนายภานุวัฒน์ที่ซื้อหุ้น อสมท.ไป เผื่อวันนึงไอทีวีจะกลับคืนมา และตอนที่เซ็นโอนหุ้นให้นายภาณุวัฒน์ต้องไปเซ็นที่ตลาดหลักทรัพย์ต่อหน้าพนักงานเท่านั้น ซึ่งก่อนการประชุมใหญ่จะเกิดขึ้นไม่กี่วัน ตนเองและนายภาณุวัฒน์ได้ขอคัดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ตลาดหลักทรัพย์เสียไปรายชื่อละ 1 บาท หลังจากได้รับข้อมูลมาเป็นไฟล์ที่ต้องใช้รหัสในการเปิดจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยส่งข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นให้กับใคร มีแต่เอามาดูกันเองและไปปรึกษาทนายความ ก็บอกว่าหุ้นนี้ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไรและเอาไปร้อง กกต. ก็จบเรื่องแค่นั้น
“เราไปขอคัดชื่อผู้ถือหุ้นเพราะอยากรู้ว่ามีใครถือหุ้นบ้างมีนักการเมืองของพรรคไหนถือหุ้นนี้อยู่แต่ก็ไม่เจอชื่อใครมีชื่อเพียงนายพิธาคนเดียว”
เมื่อถามว่า ทำไมถึงอยากรู้ว่ามีใครถือหุ้น itv อยู่บ้าง เพราะตนเองก็เคยถือหุ้นนี้ลงสมัครรับเลือกตั้งมาแล้ว จึงอยากจะทราบว่าจะมีคนแบบตนเองอีกไหมจึงอยากจะเห็นเหมือนกัน ยืนยันว่าไม่ได้บงการนายภาณุวัฒน์ เหมือนที่ตอบคำถามในรายการคุยนอกจอแต่เป็นเพราะถูกจี้ถาม ไม่ใช่หลุดตอบแต่ตั้งใจจะตอบเพื่อต้องการจะสื่อว่ามีอะไรให้มาคุยกับตนเอง ไม่ต้องไปคุยกับนายภาณุวัฒน์เพราะเขาใหม่มาก ไม่ใช่นักการเมือง ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ใช่นอมินี และไม่อยากให้นายวิโรจน์ไปข่มขู่นายภาณุวัฒน์ ยืนยันไม่ได้หวังจะทำลายหรือกลั่นแกล้งนายพิธา เพราะวันที่ เรื่องนี้ถูกเปิดเผยทั้งตนเองและนายพิธาก็ยังลงแข่งขันในการเมืองอยู่
ส่วนที่คลิปวิดีโอและบันทึกการประชุมไม่ตรงกัน เรื่องนี้พูดกันชัดๆ ง่ายๆ ให้เอาข้อมูลจากบริษัทที่จัดการประชุม เพราะเป็นการจัดออนไลน์ ย่อมมีการบันทึกการประชุมไว้ และย้ำว่าทุกคำถามที่พิมพ์ส่งไปมีการบันทึกไว้หมด

เมื่อถามว่าพรรคการเมืองที่สังกัดอยู่ได้พูดคุยกันหรือไม่ นายนิกส์ ตอบแบบกระอึกกระอักและยกมือขึ้นมาไหว้พร้อมกับกล่าวขอโทษ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและผู้สนับสนุนพรรคทุกคนที่ทำให้ชื่อเสียงของพรรคภูมิใจไทยต้องมามีผลกระทบ และรู้ว่าพรรคไม่อยากให้ตัวเองออกมาทำตัวเปิดโปงใคร เช่นเดียวกับวัตถุประสงค์ของตนเองที่ไม่ต้องการจะทำแบบนั้น ขอยืนยันว่า ไม่เคยนำเรื่องนี้ไปพูดกับใครหลังจากที่โพสต์ใน Facebook ส่วนตัวไปแค่ครั้งเดียวก็ไม่เคยให้สัมภาษณ์กับใคร จนล่าสุดให้สัมภาษณ์กับรายการสามมิติและในรายการคุยนอกจอเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา และยังยืนยันว่าตนเองยังเป็นสมาชิกของพรรคภูมิใจไทยอยู่แต่การเคลื่อนไหวหรือให้สัมภาษณ์อะไรต่อจากนี้ไปก็ไม่เกี่ยวกับพรรคภูมิใจไทย
“ไม่กลัวหากหลังจากนี้มีคนไปแจ้งความเอาผิดเพราะผิดก็ว่าไปตามผิดถูก ทุกการกระทำมีผลกระทบ ไม่อย่างนั้นไม่มีที่ยืนในสังคม การออกมาพูดอาจจะไม่ถูกใจบางคนแต่คิดว่าเป็นสิ่งจำเป็น ที่คุณต้องเห็นทั้งสองด้านว่ามีกฎกติกาและการที่ไม่มีกติกาก็จะวุ่นวาย”
เมื่อถามว่า เมื่อครั้งที่ยังเป็นผู้ถือหุ้น itv อยู่เคยมีหรือไม่ที่การประชุมและบันทึกการประชุมไม่ตรงกัน นายนิกส์ บอกว่า ให้ไปฟังการบันทึกการประชุมจากบริษัทต้นฉบับดีกว่ามาฟังจากบันทึกเสียงที่ใช้โทรศัพท์ของตนเองบันทึกเพราะเน็ตมันมีการกระตุกตนเองเป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายย่อย
นอกจากนี้นายนิกส์ ยังยืนยันว่า ไม่ได้รู้จักกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เป็นการส่วนตัวและไม่ทราบว่านายเรืองไกร ได้ข้อมูลนี้มาจากใครแต่ไม่ใช่จากตนเองแน่นอน เพราะรหัสที่เข้าไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้นก็เป็นคนละรหัสกันแล้ว แต่เชื่อว่าใน 14 ล้านคน ก็ยังมีอีก 50 ล้านคน ที่เฝ้าดูเรื่องนี้ คนที่เป็นกลุ่มสนับสนุนก็รับรู้ข้อมูลไว้ไม่ใช่เรื่องแปลกและขอยืนยันว่าสิ่งที่เอามาพูดและเผยแพร่คือเรื่องจริงไม่ได้มีการดัดแปลง เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำ และวันที่เปิดเผยก็ยังไม่มีคนออกมากาเลือกนายพิธาเลย อีกทั้งการเปิดเผยเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนจะมีการเลือกตั้งเสียอีก
ภาพ : ศิริวรรณ รักสัตย์