“เสรี” ขย่ม “พิธา” ทำผิดหลายเรื่อง ไม่ใช่เรื่องเดียวแค่ยัง ไม่ถึงเวลา จี้ กกต.ขยายความให้ชัดต้องทำอะไรต่อจากตั้งแท่นฟันมาตรา 151 หยันก้าวไกลสะดุดขาตัวเองล้ม ไม่มีใครเตะตัดขา “เรืองไกร” ขยี้ไม่เลิกยื่นสอบต่อสิ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ตั้งแต่ต้นปี 62 หรือไม่ คาใจไม่เชือดให้หมดสิทธิเสนอชื่อชิงนายกฯ “ธนกร” ฉะปลุกม็อบกดดันยิ่งเพิ่มไฟขัดแย้ง ติงติ่งส้มไม่มีใคร อยู่เหนือกฎหมาย “อมรัตน์” เหน็บนักร้องขาประจำพวกยุงรำคาญ จุดชนวนรัฐประหารเงียบ “สุทิน” เชื่อ “ทิม” ไม่ถึงจุดจนมุม ป้องม็อบมาให้กำลังใจไม่เกี่ยวกดดัน ส.ว. “อานนท์” ฟาดเปรี้ยงม็อบลงถนน เลี่ยงยาก ขู่ซ้ำเด็กมัธยมรู้เรื่องการเมือง ตื่นตัวมาก พร้อมลุยสู้เคียงข้างฝ่ายประชาธิปไตย นายทะเบียนพรรคการเมืองสั่งยุติ 4 คำร้องยุบ ก.ก. เหลือ 5-6 สำนวนลุ้นชะตากรรม สำนักงาน กกต.จ่อชง กกต.ใหญ่ รับรอง ส.ส.13 มิ.ย.

จากกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สั่งตั้งเรื่องไต่สวนตามมาตรา 151 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) รู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากมีลักษณะต้องห้าม แต่กระทำฝ่าฝืนมาตรา 42 (3) และมาตรา 151 นั้น

...

“เสรี” จี้ กกต.ขยายความให้ชัดคดี “พิธา”

เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.ในฐานะประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กล่าวถึงกรณี กกต.เตรียมพิจารณาความผิดนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตามาตรา 151 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กรณีรู้ตัวไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังลงสมัคร ว่า ในวันที่ 20 มิ.ย. กมธ.จะนำคำสั่งของ กกต.ดังกล่าวมาพิจารณา อยากให้ กกต.พูดให้ชัดๆ ขณะนี้ยังไม่ชัดเจน ได้แค่มุมเดียวคือเรื่องที่เป็นความผิดปัจจุบันคือ มาตรา 151 ที่อยู่ในอำนาจที่ กกต.ตรวจสอบได้ตอนนี้ แต่การกระทำนี้ไม่ได้ผิดกฎหมายเรื่องเดียว แต่ผิดหลายเรื่อง เพียงอาจไม่ถึงเวลา ดังนั้น กกต.ต้องพูดให้ชัดว่า หลังจากนี้ถ้าไปพบมีการกระทำความผิดอีก มีขั้นตอนอะไรที่ต้องทำเพื่อให้ประชาชนไม่สับสน แล้วตีความกันไปเอง เพราะแต่ละฝ่ายตีความเข้าข้างตัวเองทำให้เกิดความไม่ชัดเจน กกต.ควรพูดให้ชัด ถ้าไม่พบความผิดก็ยกไป แต่ถ้าพบความผิดจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก หรือถ้าขาดคุณสมบัติจริง ถ้ารับรอง ส.ส.ไปแล้ว ขั้นตอนจะเกิดอะไรขึ้นอีก

แขวะสะดุดขาตัวเองล้มจะโทษใคร

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลระบุว่าการที่ กกต.พิจารณามาตรา 151 เป็นการเตะตัดขานายพิธา เพราะมีโทษร้ายแรง นายเสรีกล่าวว่า โทษนี้เป็นโทษของการกระทำอยู่แล้ว จะร้ายแรงมีโทษแค่ไหนต้องดูที่กฎหมาย ไม่ได้เตะตัดขา แต่เรียกว่าสะดุดขาตัวเอง คุณทำเองทั้งนั้น จะไปว่าใครเตะตัดขา ไม่มีใครเตะตัดขา ทำเอง สะดุดเอง ล้มเอง แล้วโทษคนอื่น เมื่อถามว่า มองว่านายพิธารู้อยู่แล้วว่าไอทีวียังไม่จด ทะเบียนเลิกกิจการ นายเสรีตอบว่า ต้องรู้อยู่แล้ว ตัวเองจะคิดอย่างไรก็ตามต้องระแวดระวัง หนังเรื่องนี้อีกยาว ได้ไปเจอคำพิพากษาศาลฎีกาที่เคยตัดสินเรื่องเหล่านี้ว่าเมื่อเจ้าของมรดกเสียชีวิต ให้กรรมสิทธิ์ในหุ้น ทรัพย์มรดกตกเป็นของทายาทโดยอัตโนมัติทันทีตามกฎหมาย ไม่ใช่แค่เป็นผู้จัดการมรดกอย่างเดียว การที่นายพิธาบอกเป็นผู้จัดการมรดกจึงไม่ใช่ จะนำฎีกาดังกล่าวมามอบให้สื่อมวลชนดูด้วย

“เรืองไกร” จี้สอบพ้น ส.ส.ตั้งแต่ปี 62

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติ 6 ต่อ 0 ตีตกคำร้องยื่นตรวจสอบนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก. กรณีถือ หุ้นไอทีวี โดยอ้าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ว่า พอฟังได้เฉพาะประเด็นกรอบเวลาการยื่นเท่านั้น แต่เนื่องจาก กกต. ไปตั้งเรื่องให้สอบทางอาญาตามมาตรา 151 ฐานรู้ว่าไม่มีสิทธิสมัคร ส.ส. อาจทำให้เข้าใจได้ว่า กกต.เห็นว่าการถือหุ้นสื่อตามคำร้องเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 42 (3) ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ดังนั้น ในคำร้องยังมีประเด็นอื่นที่เป็นผลมาจากการ ถือหุ้นสื่อรวมอยู่ด้วย กกต.ควรดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป เช่น สมาชิกภาพ ส.ส. เมื่อต้นปี 62 สิ้นสุดลงหรือไม่

คาใจไม่ฟันหมดสิทธิเสนอชื่อชิงนายกฯ

นายเรืองไกรกล่าวอีกว่า ทำไม กกต.ไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 14 วรรคสอง และรัฐธรรมนูญ มาตรา 89 วรรคสอง ที่กำหนดว่าหากแคนดิเดตนายกฯมีลักษณะต้องห้ามให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯใช่หรือไม่ ด้วยเหตุผลดังกล่าวคงพอเป็นเหตุผลให้ กกต. ย้อนไปดูคำร้องให้ละเอียดว่า ยังมีงานที่ต้องทำตามหน้าที่และอำนาจต่อไปหรือไม่ สัปดาห์หน้าจะยื่นเรื่องต่อ กกต.อีกครั้ง ให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายพิธาสิ้นความเป็นสมาชิกภาพ ส.ส. เมื่อคราวเลือกตั้งปี 62 หรือไม่

“ธนกร” ติงติ่งส้มไม่มีใครอยู่เหนือ ก.ม.

นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มผู้สนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก.รวมถึงคน ในพรรคก้าวไกล ออกมาเคลื่อนไหวกดดัน กกต. อ้างว่า มีกระบวนการเตะตัดขาไม่ให้นายพิธาได้เป็น นายกฯ หลังทราบว่า กกต.สั่งให้สืบสวนไต่สวนประเด็น ที่นายพิธา ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติ แต่ยังลง สมัคร ส.ส. ตามมาตรา 151 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ว่า อยากให้ทุกฝ่ายติดตามการทำงานของ กกต.ที่อาจต้องใช้เวลา มั่นใจว่า กกต. ยึดถือปฏิบัติตามหลักกฎหมาย ใช้อำนาจหน้าที่อย่าง เที่ยงธรรม ไม่มีการเล่นเกมการเมือง หรือกระบวนการเตะตัดขาอย่างที่หลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ หาก ผลวินิจฉัยของ กกต.และศาล ออกมาเป็นที่สุดอย่างไร ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ บ้านเมืองเราต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ทุกคน อย่าเอากฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย เพราะไม่มีใคร อยู่เหนือกฎหมายได้

ปลุกม็อบลงถนนยิ่งสุมไฟขัดแย้ง

“การปลุกระดมมวลชนออกมาบนท้องถนนเพื่อกดดันการตรวจสอบนั้น จะยิ่งทำให้สถานการณ์เพิ่มความขัดแย้งในบ้านเมืองมากขึ้นไปอีก แน่นอนว่า 14 ล้านเสียงที่เลือกพรรคก้าวไกลมานั้นคาดหวังอยากให้นายพิธาได้เป็นนายกฯ ขอส่งกำลังใจให้พรรคอันดับ 1 และว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ต้องว่าไปตามกฎหมาย เพราะคนไทยทั้ง 70 ล้านคน เราอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเดียวกัน ผลออกมา เป็นอย่างไร ต้องยอมรับ” นายธนกรกล่าว

“อมรัตน์” ซัดนักร้องพวกยุงรำคาญ

นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายทะเบียน พรรคการเมืองสั่งยุติเรื่องกรณีการยื่นร้องขอให้ กกต. เสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ก.ก.ตามมาตรา 92 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรค การเมือง เนื่องจากเห็นว่าไม่มีมูล จำนวน 4 คำร้อง ว่า ขอยกตัวอย่างว่าถ้ามีการไปแจ้งความอาจจะมีเรื่อง แจ้งความเท็จ แต่การไปร้ององค์กรอิสระมันไม่มีข้อหา เหมือนไม่มีข้อจำกัด หากต่อมาตรวจพบว่า มีเจตนาไม่ดีก็ไม่มีโทษหรือไม่ น่าจะต้องปรับปรุงระเบียบองค์กรอิสระต่างๆ รวมถึง กกต.หรือไม่ เพราะเมื่อ ไม่มีโทษ ณ วันนี้เลยร้องกันใหญ่ วันหนึ่งจะไปร้องกัน เช้า สาย บ่าย เย็น ร้องกี่เรื่องก็ได้ เป็นข้อเสนอแนะ ของสังคมด้วย สำหรับความหงุดหงิดรำคาญนักร้องไม่กี่คนทำความเดือดร้อนให้คนทั้งหลายสิบล้านในประเทศ เหมือนยุงรำคาญนึกออกหรือไม่ ยืนยันว่า รู้ว่ามาตรา 112 เป็นกฎหมายอาญา ที่มีการวิพากษ์ วิจารณ์กฎหมายได้ เราไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ ในรัฐธรรมนูญไม่ได้มีบอกว่า ห้ามวิพากษ์ วิจารณ์กฎหมายมาตราไหนแล้วมันจะผิดตรงไหน ผิดได้อย่างไร แล้วนักร้องไปร้องทั้งที่สภาฯ ตนโดนไปยื่นร้องจริยธรรมตั้งหลายสิบเรื่อง แต่สุดท้ายคณะกรรมการจริยธรรมของสภาฯ ตีตกหมดเรื่องมาตรา 112 อยากให้ย้ำไปเลยว่าสภาฯที่มีการร้องเกือบ 40 เรื่อง สภาฯไม่ได้รับเรื่องมากที่สุด แล้วถูกตีตก ก่อนปิดประชุมสภาฯ

แนะ กกต.แก้ระเบียบฟันคนร้องส่งเดช

เมื่อถามถึงข้อเสนอแก้ระเบียบต่างๆเพื่อไม่ให้มีการร้องส่งเดช นางอมรัตน์ตอบว่า เมื่อวันก่อนไป ออกรายการหนึ่ง ได้คุยกับนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผอ.ศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในเรื่องนี้ว่า บอกไปว่า กกต.เป็นองค์กรอิสระ แต่ไม่ควร เป็นอิสระจากการถูกตรวจสอบจากสังคมถูกหรือไม่ เป็นองค์กรอิสระที่อิสระจากการครอบงำของฝ่ายบริหารก็จริง แต่ไม่ควรจะเป็นอิสระลอยตัวเหนือความ รับผิดชอบทางสังคม กกต.แก้ระเบียบภายใน กกต.เองได้ โดยสภาฯ หรือ ส.ส.ไม่สามารถไปก้าวก่าย สั่ง กกต.ไม่ได้ว่าต้องแก้ระเบียบกันอย่างไร ต้องออก ระเบียบออกมานะว่าพวกนักร้องที่ร้องมั่วๆต้องมีความผิดหรือไม่ เป็นเรื่องของจิตสำนึกของ กกต.เอง ต้องเห็นแล้วว่านักร้องพวกนี้ทำความเดือดร้อนให้สังคมอย่างไร

อัดขาประจำจุดชนวน รปห.เงียบ

นางอมรัตน์กล่าวต่อว่า กระบวนการนิติสงคราม จะเริ่มจากแค่คน 10 กว่าคน สามารถทำลายระบบเลือกตั้งได้เลย เริ่มต้นแค่มีนักร้องเจ้าประจำ แล้วทำความขัดแย้งทางการเมืองให้กลายเป็นคดีความ พอเป็นคดีความขึ้นมาก็ส่งเรื่องไปยังศาล ซึ่งศาลอาจจะรับหรือไม่รับ แต่อาจเป็นกระบวนการที่ทำลายพรรคการเมืองง่ายไปหรือไม่ เพราะคน 26 ล้านคน เลือกฝั่งประชาธิปไตยได้ที่นั่งมา 70% ฝั่งอำนาจเดิมได้ 30% เอง แล้วจะใช้แค่กระบวนการนักร้องกับคนอีกไม่กี่คน ที่อาจจะเกิดการยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองหรือไม่ แบบนี้คือนิติสงคราม เอากฎหมายเป็นเครื่องมือหรือไม่ คิดว่ามันไม่มีการรัฐประหารในทางกายภาพแล้ว แบบรถถังไปยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์มันไม่มีแล้ว เมื่อถามว่าแบบนี้คือการรัฐประหารเงียบหรือ นางอมรัตน์ตอบว่า ใช่ มันคือการรัฐประหารอยู่ทุกเมื่อ เชื่อวัน รัฐประหารผ่านกลไกนักร้อง ผ่านกลไกลนิติสงคราม เหมือนเป็นการยึดอำนาจโดยอ้างกฎหมาย แล้วดูดี ดูชอบธรรมดู กกต.เปลี่ยนสโลแกนตัดคำว่าโปร่งใสออก แล้วเปลี่ยน เป็นว่า ทำตามกฎหมาย ใช้คำว่าอาจจะเป็นกฎหมายที่ฉ้อฉล แล้วคุณไปเอาตัวบทกฎหมายที่อาจจะฉ้อฉลหรือไม่มาตีความ ถ้าอย่างนี้เอาเอไอมาตัดสินเลย ไม่ต้องใช้ดุลพินิจของความเป็นคนจริงหรือไม่ ถ้าเอาตามตัวบทกฎหมายหมด ใช้เอไอไปเลย ที่เขาใช้มนุษย์เพราะว่าต้องใช้ดุลพินิจที่ถูกต้องของมนุษย์ด้วย

มีอำนาจเหนือการเลือกตั้งหรือไม่

เมื่อถามถึงกรณีนายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและแกนนำราษฎร เกรงว่าหากนิติสงครามเล่นงานนายพิธา อาจเกิดการชุมนุมแบบออร์แกนิก เป็นแสนเป็นล้าน แบบที่ไม่ต้องมีแกนนำ กังวลความวุ่นวายหรือไม่ นางอมรัตน์ตอบว่า ตนไม่อยากพูดแล้ว ไปตีความว่าเป็นการข่มขู่ว่าอาจเกิดการลงถนน แต่เชื่อว่ารอบนี้มันจะไม่เหมือนเดิม โหวตเตอร์จะออกมาปกป้องสิทธิและเสียงตัวเอง ที่แสดงออกผ่านคูหาเลือกตั้งอย่างแน่นอน แต่ไม่อยากจะพูดว่าคนจะลงถนนเป็นแสนเป็นล้านคน ดูเหมือนเราไปขู่ เราไม่มีสิทธิไปขู่ แต่ในใจลึกๆคิดว่ารอบนี้มันไม่เหมือนตอนที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่โดน หลังอนาคตใหม่โดน ปี 63 เกิดม็อบเยาวชนเบ่งบาน เกิดการตื่นรู้ในสังคมจนแปรผลออกมาเป็นคะแนนเลือกตั้งอย่างที่เห็นมาแล้ว จะต้องไม่เหมือนเดิม คุณไม่เหลือต้นทุนอะไรแล้ว เกิดความสับสนอลหม่านแน่นอนในสังคมแต่จะออกมารูปแบบไหนเท่านั้น เราไม่สามารถไปพูดไปขู่หรอก แต่จริงๆมันเป็นแบบที่นายอานนท์พูด ต้องถามคำถามเดียวว่าใครมีอำนาจสูงสุดตัวจริงกันแน่ มันมีอำนาจเหนือการเลือกตั้งหรือไม่ เป็นกระบวนการที่ถูกสร้างสถานการณ์มาทั้งนั้น หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ เกินจากสามัญสำนึกคนทั่วไป ที่พิสูจน์มาแล้วหลายครั้งหลายคราใช่หรือไม่

คนวงในกระซิบรับรอง ส.ส. 27 มิ.ย.

นางอมรัตน์กล่าวด้วยว่า แหล่งข่าววงในจากรัฐสภาแอบกระซิบว่า กกต.ส่งสัญญาณมาที่สภาฯแล้วว่าต้องรับรอง ส.ส.ภายในวันที่ 27 มิ.ย. เพราะวันที่ 28 มิ.ย. จะมี กกต. 1 คน ครบวาระดำรงตำแหน่งต้องให้คนที่กำลังจะหมดวาระร่วมเซ็นรับรอง ส.ส.ด้วย พอเซ็นรับรอง ส.ส.แล้วสภาฯต้องจัดประชุมภายใน 15 วันหลังจากที่ กกต.รับรอง ส.ส. เลยถามไปว่าสภาฯจะจัดปฏิญาณตน ส.ส.ประมาณเมื่อไหร่ เขาบอกจะจัดประมาณวันที่ 10 ก.ค. พอหลัง ส.ส.ปฏิญาณตนแล้ว จะต้องเรียกประชุมนัดแรกเพื่อเลือกประธานสภาฯ ถัดจากวันที่ 10 ก.ค. ไปอีกวันสองวัน

“พิธา” ใส่ชุดผ้าไหมชิลๆเมิน กกต.จ่อฟัน

วันเดียวกัน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก. โพสต์ภาพสวมชุดพื้นเมือง ชนเผ่าทำจากผ้าไหมไทย พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า มาครับ ผ้าพื้นเมืองของดีของเด็ดจากแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศไทย ใครตอบได้บ้างว่าผ้าอะไรมาจากที่ไหนบ้าง ส่วนใครมีร้านฝากร้านได้เลยใต้โพสต์ ขอให้ขายดิบขายดีกันทุกคนน้า ทั้งนี้ ในโพสต์ดังกล่าวไม่มีการชี้แจงหรือพูดถึงเรื่องร้อนที่กำลังถูก กกต. ตั้งเรื่องไต่สวนตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.

“สุทิน” เชื่อ หน.ก้าวไกลไม่จนมุม

นายสุทิน คลังแสง ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคก้าวไกล ระบุกรณี กกต.ตั้งเรื่องไต่สวนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลมีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการเตะตัดขาการตั้งรัฐบาลว่า แล้วแต่ใครจะมอง แต่ส่วนตัวคิดว่าการจะได้ซึ่งนายกฯนั้น ทุกคนอยากได้นายกฯที่ไม่มีข้อตำหนิ จึงต้องมีการตรวจสอบให้ถึงที่สุด การคัดกรองคงทำกันเต็มที่เพื่อให้ได้นายกฯที่ไม่มีข้อกังขา ก็ต้องไปดูที่ข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย ถ้าไม่มีความผิดไม่มีประเด็นแล้วไปกล่าวหา ก็มองได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งหรือเตะตัดขา แต่ถ้าหากมีประเด็นฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ควรต้องพิสูจน์ให้ได้ข้อยุติ ตนยังมองในแง่บวกจะติดตามถึงตอนจบว่าเป็นอย่างไร ถึงจะชี้ได้ว่าเป็นเจตนาที่บริสุทธิ์หรือไม่ เมื่อถามว่าจากการไต่สวนเรื่องดังกล่าวเป็นห่วงนายพิธาหรือไม่ นายสุทินตอบว่า ไม่ห่วง แม้ดูข้อกล่าวหาจะหนักหน่วง แต่คิดว่ามีข้อต่อสู้ที่สามารถชี้แจงได้ ซึ่งสุดท้ายก็อยู่ที่องค์กรที่จะชี้ว่าจะชี้ออกมาอย่างไร เชื่อว่าทั้งนายพิธาและพรรคก้าวไกลยังไม่จนมุม

ไม่ห่วงมวลชนก่อเหตุวุ่นวาย

เมื่อถามถึงกรณีนายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ระบุวันโหวตเลือกนายกฯ จะมีประชาชนออกมาให้กำลังใจนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯของพรรคก้าวไกลจำนวนมาก ห่วงจะมีความวุ่นวายหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า คิดว่าการไปให้กำลังใจเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน มีกฎหมายระเบียบเกี่ยวข้องอยู่ ถ้าไปตามกฎหมายไม่น่าจะมีอะไรเชื่อว่าทุกฝ่ายประสงค์ให้การเลือกตั้งทำให้ประเทศเดินต่อไปได้ ไม่ใช่เลือกตั้งแล้วประเทศหยุดชะงัก ถ้าทุกคนตระหนักตรงนี้ไม่มีอะไรน่าห่วง

“อนุสรณ์” ป้องคนมาให้กำลังใจทำได้

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีนายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและแกนนำกลุ่มราษฎร ออกมาระบุวันโหวตเลือกนายกฯจะมีประชาชนออกมาให้กำลังใจ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกลจำนวนมากว่า การเดินทางมาให้กำลังใจนายพิธา ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ หากเป็นการชุมนุมที่สงบปราศจากอาวุธไม่ใช่ความรุนแรงสามารถทำได้ อยากให้ผู้ที่จะเดินทางมาวันนั้น ปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย

ไม่เกี่ยวขนคนกดดัน ส.ว.ชูมือโหวต

นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า มองว่าการมาชุมนุมวันดังกล่าว คงเป็นคนละประเด็นกับการไปกดดันการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา เพราะทุกคนมีเอกสิทธิ์ในการโหวต แต่ละคนมีจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชนอยู่แล้ว เมื่อถามว่าเกรงว่าหากมีการปะทะกันจะทำให้สถานการณ์บานปลายหรือไม่ นายอนุสรณ์ตอบว่า เชื่อว่าทั้งผู้ที่มาให้กำลังใจและเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าทุกฝ่ายยึดประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน ดำเนินการตามกรอบกฎหมายที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ ไม่มีเหตุที่จะบานปลาย และฝากไปยังเจ้าหน้าที่รัฐหากมีการชุมนุมของประชาชนจริง เจ้าหน้าที่รัฐต้องบังคับใช้กฎหมายที่สุจริตและเป็นธรรมให้การแสดงออกของประชาชนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ

“อานนท์” ชี้เด็กมัธยมพร้อมลงถนน

วันเดียวกัน นายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและแกนนำราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ที่ผมบอกว่าคนจะลงถนนถ้าชนชั้นนำไทยทำให้การเลือกตั้งไร้ความหมาย อันนี้ไม่ได้ขู่ ไม่ได้นัด และไม่ได้นำด้วย มันจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ มันจะเกิดแกนนำโดยธรรมชาติและมีความชอบธรรมสูง หลายคนห่วงกังวล ผมก็ห่วง แต่โดยธรรมชาติของการแสดงออกทางการเมืองนั้น “เลี่ยงยาก” เพราะทางเลือกของการต่อสู้มันมีไม่มาก เลือกตั้งชนะแล้วแต่โดนล้มนี่จะอธิบายกับชาวบ้านชาวช่องยังไง ช่วยกันครับ ถ้าไม่อยากเดินไปที่จุดที่ไม่รู้จะจบยังไง ปล่อยให้คะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชนทำงาน ยอมรับความพ่ายแพ้ แก้ไขจุดบกพร่อง แล้วมาให้ประชาชนลงมติอีกใน 4 ปีข้างหน้า วันนี้ให้ประชาธิปไตยทำงานเถอะครับ คนที่สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยมีมากกว่าที่ลงคะแนนเสียงตอนเลือกตั้ง น้องๆมัธยมเขาพร้อมจะเคลื่อนไหวสอดรับกับประชาชน มัธยมเขารู้เรื่องการเมือง และตื่นตัวมากๆ”

กกต.-ตร.มีอำนาจสอบสวนชงอัยการ

สำหรับข้อสงสัยว่าในกรณีจะมีการดำเนินคดีต่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก. ทั้งที่ รู้ว่าตนเองถือหุ้นและยังฝืนลงสมัคร ส.ส. หน่วยงานใดจะมีอำนาจสืบสวนสอบสวนสรุปสำนวนส่งอัยการสูงสุด หรือเป็น “เจ้าภาพ” คดีนี้ วันเดียวกัน ว่าที่พ.ต.ดร.สมบัติ วงศ์กำแหง กรรมการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ อดีตเลขาธิการสภาทนายความเผยว่า หลักคือรัฐธรรมนูญปี 60 มาตรา 98 (3) เรื่องคุณสมบัติต้องห้ามไม่ให้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ต้องไม่ถือหุ้นสื่อ ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการสมัครเป็น ส.ส.ปี 61 มาตรา 151 ที่บอกว่าผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีคุณสมบัติลงสมัคร ส.ส.ยังฝืนไปสมัคร มีโทษอาญาจำคุกและปรับ ถ้าถามว่าใครจะเป็นพนักงานสอบสวน เมื่อดูตาม พ.ร.ป.คณะกรรมการการเลือกตั้งปี 60 มาตรา 61 ที่เป็นกฎหมายเฉพาะ บอกว่าคณะกรรมการ กกต. สามารถแต่งตั้งคณะทำงานไต่สวน สืบสวนรวมถึงสอบสวนคดีนี้ และมีฐานะเป็นเจ้า พนักงานตามกฎหมาย ป.วิอาญาด้วย ส่วนบุคคลที่จะเป็นผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์คือ กกต.เอง หรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้มีสิทธิลงคะแนน

“ในทางปฏิบัติหากมีใครไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหรือตำรวจ ตาม ป.วิอาญาทำได้ด้วย คือ กกต.มีอำนาจ ตำรวจก็มีอำนาจ เท่ากับว่ามีอำนาจทับซ้อนกันระหว่างตำรวจกับ กกต. ที่มีฐานะเสมือนพนักงานสอบสวน แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้สอบสวนคดี ต้องส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาออกคำสั่งฟ้องเป็นที่สุด ตัวอย่างที่เคยมีคือคดีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่อัยการสูงสุดออกคำสั่งไม่ฟ้อง” ว่าที่ พ.ต.ดร.สมบัติกล่าว

นายทะเบียนฯสั่งยุติ 4 คำร้องยุบ ก.ก.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า เมื่อเร็วๆนี้ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง มีความเห็นสั่งยุติเรื่อง กรณีมีการยื่นร้องขอให้ กกต.พิจารณาเสนอเรื่องความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ตามมาตรา 92 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วย พรรคการเมือง เนื่องจากเห็นว่าไม่มีมูล โดยทั้ง 4 คำร้องประกอบด้วย 1.กรณีกล่าวหานายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรค ก.ก.และกรรมการบริหารพรรค ก.ก.ในขณะนั้นปราศรัยหาเสียงที่ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2566 กล่าวร้ายโครงการพระราชดำริพาดพิงสถาบัน เข้าข่ายฝ่าฝืนข้อ 17 ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. 2561 2.กรณีร้องว่าพรรค ก.ก.มีนโยบายที่จะยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยอ้างการให้สัมภาษณ์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก. ที่มีเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดีย 3.กรณีนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรค ก.ก. โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กถึงจุดยืนของตนเองและจุดยืนของพรรค ก.ก.เรื่องมาตรา 112 4.กรณีกล่าวหาว่าพรรค ก.ก.ยินยอมให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช เป็นผู้นำในการหาเสียงเลือกตั้งและเป็นตัวแทนในการดีเบตกับพรรคการเมืองอื่นแทนพรรค ก.ก.เป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคในลักษณะที่ทำให้พรรคขาดอิสระ

เหลือ 5-6 คำร้องรอลุ้นชะตากรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงาน กกต. ได้แจ้งผู้ร้องทราบแล้ว ทั้งนี้การที่นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นให้ยุติเรื่องการใช้อำนาจตามข้อ 7ของระเบียบ กกต.ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง 2564 ที่กำหนดว่าในกรณีนายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานพร้อมความเห็นว่า ไม่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการตามมาตรา 92 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรค การเมือง 2560 ให้ยกคำร้องหรือยุติเรื่องแล้วแต่กรณี และแจ้งให้ผู้ร้องทราบและรายงานให้ กกต. ทราบ อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีการรายงานข้อมูลว่าจากจำนวนเรื่องร้องเรียนตั้งแต่ปลายปี 2563 ถึงต้นปี 2566 มีคำร้องยุบพรรคการเมืองรวม 83 เรื่องร้องเรียน และมี 61 เรื่องที่นายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าไม่มีมูลจึงให้ยุติเรื่อง เหลือ 19 เรื่องร้องเรียนที่ดำเนินการอยู่ และการดำเนินการจนถึงขณะนี้พบว่า เหลือคำร้องที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคอยู่ในการพิจารณาของสำนักงานฯ 5-6 คำร้อง

ตรวจสอบรับรอง ส.ส.เบื้องต้นคืบหน้า

เย็นวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวสอบถามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กกต.ถึงกรณีนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรค ก.ก.อ้างคนวงในกระซิบว่า กกต.เตรียมรับรอง ส.ส.อย่างเป็นทางการภายในวันที่ 27 มิ.ย. เพราะวันที่ 28 มิ.ย. กกต.1 คนครบ วาระดำรงตำแหน่งและสภาฯจะจัดให้ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. วันที่ 10 ก.ค. ไทม์ไลน์ที่คืบหน้าเป็นเเบบนี้จริงหรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กกต.ระบุว่า ถ้าจะมีเค้า น่าจะเป็นเพราะกระบวนการตรวจสอบเบื้องต้นของ กกต.ได้ข้อสรุปแล้วว่าสามารถประกาศผลได้ตามมาตรา 127 ของ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.มากกว่าเหตุผลเรื่องที่ว่าจะมี กกต.1 คนพ้นจากตำแหน่ง ตอนนี้กระบวนการตรวจสอบเบื้องต้นตามมาตรา 127 ใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว แม้จะยังสรุปไม่ได้ว่าจะประกาศวันไหนก็ตาม

สำนักงานฯจ่อชงรับรอง ส.ส. 13 มิ.ย.

ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวจากสำนักงาน กกต.ว่า ความคืบหน้าการพิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นไปได้ว่าสำนักงาน กกต.เตรียมเสนอเรื่องให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาได้ช่วงวันที่ 13 มิ.ย.หลัง ผอ.การเลือกตั้งประจำจังหวัด (ผอ.กกต.จว.) ส่งรายงานความเห็นการเลือกตั้ง ทั้งผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุด ผลการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนและความเห็นเรื่องการประกาศผลการเลือกตั้งมาครบทุกจังหวัด รวมทั้งผลการรายงานการนับคะแนนใหม่ใน 47 หน่วยเลือกตั้งใน 16 จังหวัด กกต.มีมติให้นับใหม่เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. คาดว่ากลุ่มแรกที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมจะเป็นว่าที่ ส.ส.กลุ่มสีขาว หรือกลุ่มไม่มีเรื่องร้องเรียนหรือร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งที่พิจารณาง่าย ใช้เวลาไม่นาน กลุ่มนี้จะเป็นลอตใหญ่มีจำนวนมาก ส่วนว่าที่ ส.ส.ที่ถูกร้องเรียนการเลือกตั้ง มีอยู่ประมาณ 20-30 คน อยู่ในขั้นตอนการสืบสวนไต่สวนข้อเท็จจริงว่ามีมูลตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างหรือไม่ หากแล้วเสร็จจะเสนอให้ที่ประชุม กกต. พิจารณาเป็นลำดับถัดไป ทั้งนี้ การประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง กกต.ตั้งใจจะพิจารณาให้เสร็จภายในเดือน มิ.ย. เนื่องจาก วันที่ 28 มิ.ย. นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี กกต.จะมี อายุครบ 70 ปีในวันที่ 28 มิ.ย.ต้องพ้นจากตำแหน่งส่งผลให้เหลือกรรมการปฏิบัติหน้าที่เพียง 5 คน

เมืองกาญจน์ พท.แต้มทั้งเพิ่ม-ลด

ส่วนการนับคะแนนเลือกตั้งใหม่ทั้งการนับคะแนนแบบแบ่งเขต 31 หน่วยเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ 16 หน่วยเลือกตั้ง รวม 47 หน่วยเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เมื่อเวลา 09.00 น. ที่อาคารสโมสร อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี มีการนับคะแนนหน่วยเลือกตั้งที่ 8 หมู่ที่ 8 ต.ด่านมะขามเตี้ย เขตเลือกตั้งที่ 2 ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 358 คน มีผู้มาใช้สิทธิ 275 คน ได้นำบัตร 275 บัตรมานับคะแนนใหม่ มีบัตรดี 246 บัตรจากเดิมมี 245 ใบ บัตรเสีย 28 ใบ จาก 29 บัตร บัตรที่ไม่เลือกบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองเท่าเดิม 1 บัตร พรรคเพื่อไทยได้เพิ่มอีก 3 คะแนนจาก 74 คะแนนเป็น 77 คะแนน และพรรคครูไทยเพื่อประชาชน (ค.พ.ช.) ได้เพิ่ม 1 คะแนนเป็น 6 คะแนน ส่วนที่อาคารหอประชุมที่ว่าการ อ.ไทรโยค มีการนับคะแนนใหม่ของหน่วยเลือกตั้งที่ 2 หมู่ที่ 2 ต.นาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ ผู้มีสิทธิ 1,062 คน มีผู้มาใช้สิทธิ 743 คน บัตรดี 682 ใบ บัตรเสีย 56 บัตร บัตรไม่เลือกบัญชีรายชื่อพรรคใด 5 ใบ ผลการนับใหม่พรรคเพื่อไทยได้คะแนนลดลง 3 คะแนน จาก 139 คะแนน ได้ 136 คะแนน ส่วนพรรคก้าวไกลได้ 272 คะแนนทั้ง 2 ครั้ง

เพชรบุรียอดตรง คาดขีดนับผิด

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำ จ.เพชรบุรี อ.เมืองเพชรบุรี กกต.เพชรบุรี พร้อมคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยนำหีบบัตรเขตเลือกตั้งที่ 2 แบบบัญชีรายชื่อ (เลือกพรรคการเมือง) หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 6 ต.ไร่ใหม่พัฒนา อ.ชะอำ นับคะแนนใหม่ มี ร.ต.อ.หญิง ฐาปนีย์ มหาพชราอรุณใหม่ ผอ.สนง.การเลือกตั้งประจำ จ.เพชรบุรี ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบุรี สื่อมวลชนและประชาชนร่วมสังเกตการณ์ พบว่าคะแนนรวม 412 คะแนน บัตรเสีย 43 ใบ บัตรไม่เลือกพรรคใด 6 ใบ รวมบัตรดี บัตรเสีย บัตรไม่เลือกพรรคใด รวม 461 ใบ ร.ต.อ.หญิง ฐาปนีย์ กล่าวว่า การนับคะแนนใหม่เรียบร้อยดี คะแนนออกมาตรงกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิ ส่วนความผิดพลาดคะแนนครั้งแรกที่เกินมา 1 คะแนน คาดว่าอาจผิดพลาดจากการขีดนับคะแนน

รทสช.ยังครองใจคนประจวบฯ

ที่ลานอเนกประสงค์ หน้าที่ว่าการ อ.ปราณบุรี อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายบุญมี สำมณี ประธาน กกต.ประจำเขตเลือกตั้งที่ 2 จัดนับคะแนนใหม่เขตเลือกตั้งที่ 2 รวม 5 หน่วยเลือกตั้ง ท่ามกลางฝนตกลงมาต่อเนื่อง ขณะที่อาคารโรงยิม ร.ร.ธนาคารออมสิน ต.ร่อนทอง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีการนับคะแนนใหม่ของ 2 หน่วยเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 3 หน่วยเลือกตั้งที่ 9 ม.9 ต.ร่อนทอง อ.บางสะพานและบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อของ หน่วยเลือกตั้งที่ 3 ม.3 ต.แสงอรุณ อ.ทับสะแก มีนายสุรชัย แคลนกระโทก ประธาน กกต.เขต 3 ประจวบคีรีขันธ์มาควบคุมผลการนับคะแนนหน่วยเลือกตั้งที่ 9 ม.9 ต.ร่อนทอง อ.บางสะพาน คะแนนนายวณิชย์ ปักกิ่งเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ 210 คะแนน จากเดิม 211 คะแนน บัตรเสียจาก 27 เป็น 29 คะแนน ยอดรวมคะแนนกับผู้มาใช้สิทธิตรงกันที่ 746 คะแนน ส่วนบัตรเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อหน่วยเลือกตั้งที่ 3 ม.3 ต.แสงอรุณ อ.ทับสะแก พรรครวมไทยสร้างชาติได้ 93 คะแนน พรรคประชาธิปัตย์ 8 คะแนน พรรคเพื่อไทย 40 คะแนน พรรคก้าวไกล 116 คะแนน บัตรเสีย 13 ใบ ไม่ประสงค์ลงคะแนน 1 ใบ รวม 312 ใบ ตรงตามจำนวนผู้มาใช้สิทธิ

พท.สุโขทัยได้เพิ่มมา 1 คะแนน

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ใต้ถุนโดม หน้าสำนักงานเทศบาลตำบลทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย นายอนุสรณ์ มณีเลิศ นอภ.สวรรคโลก ในฐานะประธาน กกต.ประจำเขตเลือกตั้งที่ 3 หน่วยเลือกตั้งที่ 3 เขตเลือกตั้งที่ 3 หมู่ 3 เทศบาล ต.เขาแก้วศรีสมบูรณ์ อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย พร้อม พ.ท.สยามรัฐ สุทธรินทร์ ผอ.กกต. จ.สุโขทัย ร่วมเป็นสักขีพยานการนับคะแนนใหม่ พท.สยามรัฐกล่าวว่า หน่วยเลือกตั้งนี้ มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 304 คน แต่นับบัตรเลือกตั้งได้ 303 ใบ ผลการนับใหม่มีบัตรเลือกตั้ง 304 ใบ คะแนนที่เพิ่มมา 1 คะแนน เป็นของ น.ส.ประภาพร ทองปากน้ำ จากพรรคเพื่อไทย เดิมได้ 95 เพิ่มขึ้นเป็น 96 คะแนน

“หมอทศพร” แต้มหดไป 2 คะแนน

เมื่อเวลา 10.00 น.ที่หอประชุม อ.เมืองแพร่ หลังที่ว่าการ อ.เมืองแพร่ นายชนวิท พิมพิลา ผอ.กกต.แพร่ จัดนับคะแนนหน่วยเลือกตั้งที่ 4 เทศบาลต.สวนเขื่อน อ.เมืองแพร่ เขตเลือกตั้งที่ 1 พบว่า น.ส.ชนกนันท์ ศุภศิริ พรรครวมไทยสร้างชาติได้ 85 คะแนน นพ.ทศพร เสรีรักษ์ พรรคเพื่อไทย 214 คะแนน นายวิทูรย์ สุรจิตต์ พรรคก้าวไกล 82 คะแนน น.ส.อาทิตยา อินนะไชย พรรคพลังประชารัฐ 23 คะแนน นายชนวิท พิมพิลา ผอ.กกต.แพร่ กล่าวว่า ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมี 441 คน แต่นับได้ 443 คะแนน เมื่อการนับคะแนนสิ้นสุดลงได้ข้อสรุปว่าคะแนนของ นพ.ทศพรจากเดิมที่ได้ 216 คะแนน นับใหม่ได้ 214 คะแนน ลดลงไป 2 คะแนน

กทม.6 หน่วยก้าวไกลชนะเหมือนเดิม

สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ มีการนับคะแนนใหม่ 6 หน่วยเลือกตั้ง แยกเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต 3 หน่วย ดังนี้ 1.หน่วยเลือกตั้งที่ 15 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม เขตเลือกตั้งที่ 15 เนื่องจากขาด 1 คะแนน นับใหม่มีผู้มาใช้สิทธิ 559 คน บัตรดี 529 ใบ บัตรเสีย 17 ใบ (เท่าเดิม) และผู้ไม่ประสงค์เลือกผู้ใด 13 ใบ ผลคะแนนพรรคก้าวไกล 180 คะแนน พรรคเพื่อไทย 138 คะแนนได้เพิ่ม 1 คะแนน พรรค ไทยสร้างไทย 137 คะแนน 2.หน่วยเลือกตั้งที่ 40 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ เขตเลือกตั้งที่ 7 ขาด 1 คะแนน นับใหม่มีผู้มาใช้สิทธิ 678 คน เป็นบัตรดี 654 ใบ บัตรเสีย 6 ใบ และบัตรไม่ประสงค์เลือกผู้สมัครคนใด 18 ใบ พรรคก้าวไกล ได้ 325 คะแนน ลดลง 1 คะแนน พรรครวมไทยสร้างชาติได้ 187 คะแนน เพิ่ม 1 คะแนน พรรคเพื่อไทยได้ 89 คะแนนเท่าเดิม 3.หน่วยเลือกตั้งที่ 7 แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 18 ขาด 2 คะแนน มีผู้มาใช้สิทธิ 668 คน เป็นบัตรดี 628 ใบ บัตรเสีย 9 ใบและบัตรไม่ประสงค์เลือกผู้สมัครคนใด 31 เพิ่มขึ้น 2 ใบจากเดิม 29 ใบ ส่วนผลคะแนน 3 อันดับได้เท่าเดิม คือพรรคก้าวไกล 315 คะแนน พรรครวมไทยสร้างชาติ 121 คะแนน และพรรคเพื่อไทย 105 คะแนน

แต้มบัญชีรายชื่อลดแต่ไม่กระทบ

ส่วนการนับคะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 3 หน่วย ดังนี้ 1.หน่วยเลือกตั้งที่ 3 แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตเลือกตั้งที่ 1 ที่พบคะแนนเขย่ง 37 คะแนน ผู้มาใช้สิทธิและคะแนนเลือกตั้งไม่ตรงกัน ผลนับใหม่มีผู้มาใช้สิทธิ 538 คน เป็นบัตรดี 512 ใบ บัตรเสีย 14 ใบ และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 12 ใบ พบว่าพรรคก้าวไกลได้ 211 คะแนน ลดลง 19 คะแนน พรรครวมไทยสร้างชาติ 154 คะแนน ลดลง 11 คะแนน พรรคเพื่อไทย 73 คะแนนลดลง 5 คะแนน และพรรคประชาธิปัตย์ 28 คะแนน ลดลง 2 คะแนน 2.หน่วยเลือกตั้งที่ 7 แขวงสะพานสอง เขตวังทองหลาง เขตเลือกตั้งที่ 5 ขาด 2 คะแนนนับใหม่มีผู้ใช้สิทธิ 342 คน เป็นบัตรดี 326 ใบ บัตรเสีย 10 ใบ และไม่ประสงค์ลงคะแนน 6 ใบ โดยพรรคก้าวไกลได้ 122 คะแนน พรรครวมไทยสร้างชาติ 85 คะแนน พรรคเพื่อไทย 72 คะแนน และ 3.หน่วยเลือกตั้งที่ 11 แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน เขตเลือกตั้งที่ 24 ที่มีคะแนนเขย่ง 3 คะแนน ผู้มาใช้สิทธิและคะแนนเลือกตั้งไม่ตรงกัน นับใหม่มีผู้มาใช้สิทธิ 382 คน เป็นบัตรดี 365 ใบ เดิม 368 ใบ บัตรเสีย 12 ใบ และไม่ประสงค์ลงคะแนน 5 ใบ พรรคก้าวไกล 179 ลดลง 4 คะแนน พรรครวมไทยสร้างชาติ 66 คะแนนเท่าเดิม ขณะที่ พรรคเพื่อไทย 59 คะแนน เพิ่มขึ้น 1 คะแนน