หัวหน้าพรรคก้าวไกล เผย จ่อเช็กบิล รถไฟฟ้าสายสีส้มเรื่องแรก เตรียมให้สื่อไลฟ์สดวงประชุม กมธ.งบประมาณ ชี้ งบลับกลาโหมจะเปิดเท่าที่กฎหมายอนุญาต พร้อมดัน ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันไทยให้อยู่ในอันดับดีขึ้น ด้าน ประธาน ACT บอกรู้สึกดีมีพรรคการเมืองสนใจต้านคอร์รัปชัน

เมื่อเวลา 16.33 น. วันที่ 8 มิถุนายน 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ร่วมกันแถลงข่าว ภายหลังนำคณะทำงานต่อต้านคอร์รัปชันของพรรค ประกอบด้วย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล นายรังสิมันต์ โรม นายพริษฐ์ วัชรสินธุ นายวรภพ วิริยะโรจน์ และ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ เดินทางเข้าหารือแลกเปลี่ยนนโยบายต่อต้านคอร์รัปชัน หรือ ACT

โดยนายวิเชียร กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่มีพรรคการเมืองสนใจ ใส่ใจ เชื่อว่าจะจริงจังในการหาแนวทางในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเราก็เล็งเห็นว่าบทบาทของภาคการเมืองเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเราได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แต่นโยบายหลายๆ เรื่องที่ทำมานานกว่า 10 ปี ต้องมีการส่วนร่วมในการแก้ปัญหา เพราะไม่มีภาคส่วนใดส่วนหนึ่งจะแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้หน่วยงานเดียว

...

ด้านนายพิธา กล่าวว่า การหารือในวันนี้เพื่อร่วมมือกันต้านคอร์รัปชันและเพิ่มดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน หรือ Corruption Perceptions Index (CPI) ของไทยที่ตกลงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาหลายสิบอันดับ โดยเรามีแผนในระยะสั้น และภายใน 4 ปี จะทำอะไรบ้าง เนื่องจากอยากเห็นดัชนีดังกล่าวดีขึ้นโดยเร็ว และจะพยายามดันขึ้นให้เร็วที่สุด โดยคณะทำงานในพรรคจะมีการหารือกัน ว่าจะแก้ไขกฎหมายข้อใด รวมถึงการเอาเทคโนโลยีใด เข้ามาช่วยในการต่อสู้คอร์รัปชัน เพื่อลดคอร์รัปชันและอำนวยความสะดวกภาคเอกชนในการทำงานต่อไป

เมื่อถามว่าจะนำชุดข้อมูลนี้ไปรวบรวมในชุดคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า นายรังสิมันต์ โรม และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร จะเป็นฝ่ายนำของพรรคก้าวไกล ส่วนพรรคเพื่อไทย และพรรคเสรีรวมไทยจะส่งบุคลากรมา ก่อนจะรวบรวมการทำงานในการต่อสู้คอร์รัปชัน โดยได้รับโจทย์จาก ACT มาค่อนข้างชัดเจน ซึ่ง 25 ข้อมูลจากภาครัฐที่จะให้เปิดแต่เข้าไม่ถึงในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา เราจึงจะไปดูว่ามีข้อจำกัดด้านใดบ้าง ทั้งเรื่องกฎหมายที่จะให้รัฐอนุญาตเปิดข้อมูลของกระทรวงไหนได้บ้าง ก่อนจะนำมาหารือกับ ACT ต่อไป

เมื่อถามว่ามีโครงการไหนบ้างที่รอตรวจสอบหรือเช็กบิลบ้าง นายพิธา กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 4 ปี มีเรื่องเกี่ยวกับทุจริตคอร์รัปชันอย่างน้อย ปีละ 4-5 เคสเป็นอย่างต่ำ น่าจะรวมแล้ว 20 เคส เช่น เรื่องรถไฟไฟสายสีส้ม ซึ่งจะกลับไปตามเรื่องต่อหลังได้ยื่นกับ ป.ป.ช. ต่อไป

เมื่อถามว่า อย่างแรกที่เราจะได้เห็นการแก้ปัญหาคอร์รัปชันจากรัฐบาลก้าวไกล คืออะไร นายพิธา กล่าวว่า คือการเปิดเผยข้อมูลการประชุมรัฐสภา กรรมาธิการงบประมาณ ที่ให้สื่อเข้ามาไลฟ์สดได้ ซึ่งจะเป็นเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ จากระบบปิดเป็นระบบเปิด ที่จะสามารถบริหารจัดการกันได้ โดยที่ไม่ต้องไปแก้กฎหมาย ซึ่งสามารถปรับได้เลย เพื่อให้สื่อเห็นได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้น โดยไม่ต้องมีต้นทุนงบประมาณเพิ่ม

เมื่อถามว่า การพิจารณางบประมาณ ปี 2567 โดยเฉพาะงบของกระทรวงกลาโหม ที่เป็นงบลับ รัฐบาลก้าวไกลจะสามารถเปิดเผยได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า จะเปิดเท่าที่กฎหมายอนุญาตโดยที่ยังไม่ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย ตอนนี้สิ่งที่เราหารือกับ ACT คือ กฎหมายของประเทศไทยยังไม่สอดคล้องกับกฎหมายสากลมากนัก เพราะกฎหมายประเทศไทยปิดเกือบหมด ยกเว้นอะไรที่เราไปขอถึงจะเปิดให้ แต่ตอนนี้การบริหารประเทศที่มีความโปร่งใสแทบจะเปิดทั้งหมด ยกเว้นเรื่องกฎหมายที่เป็นความลับระหว่างประเทศที่เปิดเผยไม่ได้ ซึ่งจะทำให้การเปิดเผยข้อมูลได้มากขึ้น แต่ตอนนี้การประชุมงบประมาณ ที่ประธานน่าจะเป็นคนของก้าวไกล ก็จะมีการเปิดเผยออกให้หมด เช่นที่ผ่านมา ไม่สามารถเปิดเผยเรื่องการจัดซื้อวัคซีน แต่ครั้งนี้ก็จะเปิดเผยให้หมด

เมื่อถามว่า การหารือระหว่าง ACT กับก้าวไกลในวันนี้มีความคาดหวังจะนำไปแก้ปัญหามากน้อยแค่ไหน โดยนายวิเชียร กล่าวว่า คงเป็นการคาดหวังเรื่องการแสดงเจตจำนงอย่างมุ่งมั่น เห็นความสำคัญของความยั่งยืนทางการเมืองที่เรื่องนี้จะต้องได้รับการใส่ใจและแก้ไข ที่สังคม ประชาชนโหยหา เพราะวันนี้ได้ยินบางเรื่องที่จะไปดำเนินการที่เป็นรูปธรรมจริง วันนี้เราก็มีความหวัง แต่แน่นอนปัญหาทุจริตคอร์รัปชันมีมากมายจึงต้องติดตามกันต่อไป เราก็เป็นตัวกลางในการติดตามและจะได้ร่วมมือกันต่อไป

เมื่อถามว่า ทาง ACT ต้องการในภาคการเมืองแก้ปัญหาคอร์รัปชันใดมากที่สุด นายวิเชียร กล่าวว่า มันเยอะแยะไปหมด ที่กระทบประชาชนรายเล็กรายย่อย ทั้งเรื่องค่าน้ำร้อน น้ำชา ปัญหาขนาดใหญ่ที่กระทบกับตัวเงินของประเทศ จึงอยากให้แก้ไขให้หมด แต่สิ่งที่อยากเห็นคือ Political view ที่มีเจตจำนงอย่างมุ่งมั่นในการแก้ปัญหานี้ จึงอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้น

ด้านนายพิธา กล่าวเสริมว่า ในมุมรัฐบาล ตนเองเพิ่งดูตัวเลขการจัดซื้อจัดจ้างปี 65  ทั้งหมด 5 ล้านโครงการ มีการจัดซื้อ ประมาณ 40% จัดสร้าง 30% รวมเป็น 70% ของภาครัฐทั้งหมด หากจะเกาให้ถูกที่คันคือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเมื่อสักครู่ก็มีนายกสมาคมผู้ก่อสร้างอยู่ด้วย ที่พูดคุยกันว่าต้องมี TOR ที่เหมาะสม และต้องมีกลเม็ดต่างๆ การใช้เทคโนโลยี ที่สามารถใส่ข้อมูลเข้าไปได้ว่า กว่า 5 ล้านโครงการ มีอันไหนที่มีธงแดง ธงเหลือง ที่จะย่อยปัญหาลงมา ทำให้เรารู้ว่าจะจัดการปัญหาคอร์รัปชันตรงไหนได้บ้าง แน่นอนเรื่องส่วย เรื่องค่าน้ำชา เรื่องตั๋ว ก็จะต้องค่อยๆ ทำไปทีละเรื่อง