“เรืองไกร” เตรียมไป กกต. ยื่นหลักฐานเพิ่ม เอาผิด “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หลังทราบเรื่องโอนขายหุ้น itv ไปแล้วปลายเดือน พ.ค. มั่นใจหลักฐานมัดตัวได้ พร้อมตั้งคำถาม ถ้าคิดว่าไม่ผิด จะโอนทำไม 

วันที่ 5 มิถุนายน 2566 จากกรณีการถือหุ้นไอทีวีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งทางพรรคก้าวไกลมั่นใจว่าจะสามารถสู้คดีได้แน่นอน ขณะที่ล่าสุด นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เตรียมจะไปยื่นหลักฐานเพิ่มเติมให้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในวันพรุ่งนี้ (6 มิถุนายน 2566) โดยมีการระบุว่า นายพิธา โอนหุ้นขายทิ้งไปแล้ว เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา 

จากนั้นผู้สื่อข่าวติตต่อไปยัง นายเรืองไกร ว่า ทราบเรื่องการขายหุ้นของ นายพิธา ได้อย่างไร นายเรืองไกร เล่าให้ฟังว่า มีพรรคพวกมาสอบถาม รู้หรือยังว่า นายพิธา โอนขายหุ้นไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นตนเองยังไม่ทราบ จึงมาเปิดข้อมูลดูก็พบข่าวว่า ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม นายพิธา ว่า มีการโอนขายหุ้นไปหรือยัง ซึ่ง นายพิธา ไม่ได้ตอบคำถาม ตนจึงต้องเพิ่มคำร้องในประเด็นนี้ และมองว่า นายพิธา ไม่ควรจะบ่ายเบี่ยง ควรตอบไปเลยว่าโอนหรือไม่ เพราะแม้จะเป็นข้อมูลส่วนตัว แต่ก็เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือนายกรัฐมนตรี และเป็นเรื่องที่สาธารณะสนใจ พร้อมกับแนะนำให้ นายพิธา นำข้อมูลดังกล่าวประกาศขึ้นเว็บไซต์ของพรรคก้าวไกล อย่างที่พยายามเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐทำ Open data เพราะหากไม่เปิดเผย คนก็สามารถหาดูได้อยู่ดี

ขณะเดียวกัน นายเรืองไกร ยังได้ยกตัวอย่างกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เคยแจ้งต่อศาลว่าโอนหุ้นไปแล้ว หาก นายพิธา แจ้งเช่นกันก็ไม่น่าจะเสียหาย แต่ก็อยากจะถามว่า “หากคิดว่าไม่ผิด จะโอนทำไม” ส่วนการโอนหุ้นของ นายพิธา เท่าที่ทราบมาน่าจะประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2566 หลังจากประเด็นนี้เป็นข่าว เพราะมีร่องรอยการให้คำแนะนำในโซเชียลของหลายคน และ นายพิธา ก็เคยให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ว่า อย่างมากก็ไม่ได้เป็น ส.ส. แต่ยังอยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 89 บัญญัติชัดว่า หากมีลักษณะต้องห้ามให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี 

...

จากนั้นผู้สื่อข่าวถามต่อถึงความมั่นใจในหลักฐานครั้งนี้ จะสามารถมัดตัว นายพิธา ได้หรือไม่ นายเรืองไกร ตอบว่า คงจะมัดได้มากขึ้น แต่ก็ย้ำว่า 6 คำร้องที่ได้ยื่นไปก็เพียงพอที่ กกต. จะส่งให้ศาล เพราะศาลพิจารณา ก็จะเรียกเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมอยู่แล้ว ส่วนการไปยื่นคำร้องต่อ กกต. ในวันพรุ่งนี้ นอกจากประเด็นการขายหุ้นแล้ว จะไปยื่นแสดงหลักฐานบางส่วนจากคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่อาจทำให้เห็นได้ว่า คำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) บอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานกับไอทีวี โดยไม่มีสิทธิหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลปกครองกลางเห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น จึงจะขอให้ กกต. ตรวจสอบว่า สัญญาเข้าร่วมงานยังควรถือว่ามีผลอยู่หรือไม่.