แฉเมียรองผู้การจังหวัดในพื้นที่ภาค 7 เป็นเจ้าของสติกเกอร์กระต่ายหมายจันทร์ 1 ในรายชื่อที่อยู่ในมือ  “วิโรจน์” เล่นเอา ผบช.ภ.7 อยู่ไม่ติดเข้าพบ “บิ๊กเด่น” ปัดยังไม่ได้รับรายงานแต่จะนำประเด็นนี้เข้าหารือ ผบ.ตร.ด้วย ด้าน“หลวงตาเต่า” เผยมีข้อมูลอยู่แล้วอยู่ระหว่างตรวจสอบ หากพบความผิดจะดำเนิน คดีไม่ละเว้น ขณะที่ “จเรหิน” เผย “วิโรจน์และประธานสหพันธ์การขนส่ง” ตอบรับจะมาให้ข้อมูลส่วยสติกเกอร์รถบรรทุกพร้อมทั้งมอบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในอาทิตย์นี้

ภายหลังนายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์ การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย นำหลักฐานส่วยสติกเกอร์รถบรรทุก มอบให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล หลังจากออกมาเปิดโปง มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการรับส่วย ส่งผลให้ พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล.เข้าประจำ ศปก.บช.ก.และให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป.มือปราบข้าราชการขี้ฉ้อเข้ารักษาราชการแทนเพื่อสะสางปัญหาที่หมักหมมมานาน มีรายงานว่า 1 ในนั้นระบุว่า สติกเกอร์รูปกระต่ายหมายจันทร์มีผู้ดูแลคือภรรยารอง ผบก.ภ.จ.แห่งหนึ่งใน บช.ภ.7 ประกอบกิจการโรงสีข้าว

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 มิ.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธํารงค์ ผบช.ภ.7 เข้าพบ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.พร้อมกล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานกรณีที่มีการกล่าวหาภรรยานายตำรวจระดับรอง ผบก.เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่วันนี้ก็หยิบยกประเด็นนี้เข้าร่วมหารือกับ ผบ.ตร.ด้วย ยืนยันว่าหากพบผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีการกระทำความผิดก็จะดำเนินการโดยไม่ละเว้น

ด้าน พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร.กล่าวว่า ขณะนี้ ผบ.ตร.สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติ และ บช.ก. เป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งให้ตรวจสอบรายชื่อข้าราชการตำรวจ ที่สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย มอบให้กับนายวิโรจน์ด้วย โดยจะต้องเชิญ หรือเรียกบุคคลที่ถูกอ้างถึงมาให้ปากคำกับคณะกรรมการชุดดังกล่าวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการตำรวจ หรือภรรยารอง ผบก.ภ.จ. หรือแม่บ้าน-พ่อบ้านใน บก.ทล. หากพบผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทำความผิด จะถูกดำเนินการโดยไม่ละเว้น ในส่วนที่เป็นตำรวจจะมีทั้งความผิดทางอาญาและวินัย

...

ขณะที่ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จตช.กล่าวว่า ได้ติดต่อนายวิโรจน์ พร้อมประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เพื่อมาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับข้อมูลหลักฐานเรื่องส่วยสติกเกอร์รถบรรทุกในสัปดาห์หน้านี้แล้ว นายวิโรจน์ และประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ตอบรับจะมาให้ปากคำและส่งมอบพยานหลักฐาน กรณีส่วยสติกเกอร์ทางหลวงให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ของจเรตำรวจ และ บช.ก. ในการบันทึกถ้อยคำครั้งนี้ จะประกอบด้วยคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทั้ง 2 ฝ่าย ประกอบด้วย สำนักงานจเรตำรวจ มี พล.ต.ท.ฎิษพจน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นประธาน กรรมการ บช.ก.มี พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก. เป็นประธาน

 พล.ต.อ.วิสนุกล่าวอีกว่า ประเด็นการให้ความเป็นธรรม พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เน้นย้ำให้คณะกรรมการทั้ง 2 ชุด ตรวจสอบด้วยความตรงไปตรงมา และให้ลงพื้นที่เก็บรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนอื่นแบบคู่ขนานไปด้วย หากข้อเท็จจริงพบว่ามีพยานหลักฐานถึงข้าราชการตำรวจระดับไหนก็ตาม ให้ดำเนินการทั้งวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกัน หากพบพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงข้าราชการหน่วยงานอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นเป็นใจ จะส่งข้อมูลผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงนี้ให้หน่วยงานนั้นดำเนินการต่อไป ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้ง 2 ชุดนี้จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ทั้งหมดอย่างแน่นอน

อีกด้านหนึ่งที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป.รรท.ผบก.ทล. เผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบทุจริตส่วยสติกเกอร์รถบรรทุกว่า เบื้องต้นสั่งให้ตำรวจ 8 กองกำกับการทั่วประเทศ สังกัดกองบังคับการตำรวจทางหลวงรายงานเกี่ยวกับการเรียกรับส่วยในหน่วยงาน ตามข้อเท็จจริงภายในระยะเวลา 5 วัน หลังมีชื่อตำรวจปรากฏออกมาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง หากไม่รายงานตามข้อเท็จจริงภายในกำหนด ถ้ามารู้ภายหลังจะสั่งย้ายทันทีไม่ละเว้น  ส่วนกรณีมีการพาดพิงถึงภรรยานายตำรวจคนหนึ่งในพื้นที่ บช.ภ.7 เข้ามาพัวพันกับส่วยสติกเกอร์ เป็นคนกลางคอยรับเคลียร์นั้นมีข้อมูลอยู่แล้วอยู่ระหว่างตรวจสอบรวมถึงจะประสานสมาพันธ์รถบรรทุกนำข้อมูลหลักฐานต่างๆเข้ามาเพิ่มเติม ตำรวจต้องทำตามพยานหลักฐาน หากพบมีการกระทำความผิดจริงจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รรท.ผบก.ทล.กล่าวถึงกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สื่อช่องหนึ่งเชื่อมโยงไปถึงสถานีตำรวจทางหลวงเกรดเอ 7 สถานี หรือ 7 อรหันต์ โรงพักเกรดเอนั้น เรื่องนี้อาจจะไม่มีมูลความจริงทั้งหมด หากจะกล่าวหาว่าตำรวจใช้เส้นสาย ต้องตรวจสอบทั้งองค์กรไม่ใช่เจาะจงไปที่หน่วยใดหน่วยหนึ่งยืนยันว่า หากพบตำรวจคนไหนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายและสั่งย้ายอย่างแน่นอน ตนพร้อมเข้ามาเปลี่ยนแปลงตำรวจทางหลวงให้ขาวสะอาดมากขึ้น  ส่วนภาคประชาชน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบว่าเข้ามามีส่วนร่วมจะต้องถูกดำเนินคดีด้วยเช่นกัน

เย็นวันเดียวกัน มีรายงานว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ลงนามในบันทึกข้อความที่ 0007.34/2122 ลงวันที่ 31 พ.ค. ให้บังคับใช้กฎหมาย กวดขันและจับกุมการกระทำผิดของรถบรรทุก ถึงรอง ผบ.ตร. จตช. หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า ผู้ช่วย ผบ.ตร. หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า ผบช.น. ภ.1-9 ก. จตร. (หน.จต.) สทส. และ สยศ.ตร. ใจความสรุปว่า ตามที่มีการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนกรณีที่ผู้ประกอบการรถบรรทุกขนส่งสินค้ากระทำความผิดกฎหมาย บรรทุกเกินกว่าน้ำหนักบรรทุกที่กฎหมายกำหนดและใช้สติกเกอร์รูปต่างๆติดหน้ารถบรรทุกเพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าได้จ่ายผลประโยชน์ในรูปแบบ “ส่วยสติกเกอร์” ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อมิให้ถูกจับกุม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในเรื่องดังกล่าว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันอุบัติเหตุและป้องกันสภาพถนนเสียหาย ตลอดจนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน ให้ดำเนินการตามคำสั่ง 7 ข้อ

มีรายงานว่า คำสั่งหลักๆคือ ให้บังคับใช้กฎหมายเพื่อมุ่งเน้นการป้องกันอุบัติเหตุและผลกระทบกับประชาชนผู้ใช้รถ ใช้ถนน ตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร จับกุมการกระทำผิดของรถบรรทุกในข้อหาบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เดินรถบรรทุกในเวลาห้าม นำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดก๊าซ ฝุ่นควัน ละอองเคมี หรือเสียง เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดมาใช้ในทางเดินรถ รวมทั้งการกระทำความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องอันเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุโดยเคร่งครัด และห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เรียกรับ หรือยอมรับผลประโยชน์โดยมิชอบ จากผู้ประกอบการ รถบรรทุกหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อละเว้นไม่ดำเนินการจับกุม โดยเฉพาะรถบรรทุกที่ใช้สติกเกอร์ติดหน้ารถ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าได้มีการจ่ายผลประโยชน์ให้แก่เจ้าหน้าที่ตามที่เป็นข่าว และห้ามมิให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการอำนวยความสะดวก ช่วยเหลือหรือสนับสนุนกับการเรียกรับผลประโยชน์ และการกระทําความผิดในกรณีดังกล่าว รวมทั้งให้ผู้บังคับ บัญชาทุกระดับชั้น ควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อไม่ให้เกิดข้อบกพร่อง ไม่ให้มีการทุจริตจากการปฏิบัติหน้าที่หรือเรียกรับ ผลประโยชน์ในรูปแบบส่วยสติกเกอร์หรือรูปแบบอื่นๆโดยเด็ดขาด