ระยะเวลา 60 วันก่อนที่จะ ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วประเทศ ค่อนข้างจะยาวนานเกินไป เมื่อรวมกับเวลาเปิดประชุมสภา เลือกประธานสภาเลือกนายกฯ ถ้านับจากวันลงคะแนนเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม และคาดว่าจะตั้งรัฐบาลกันเรียบร้อย ต้นเดือนสิงหาคม เวลาประมาณ 3 เดือน ที่เป็นสุญญากาศในการบริหารประเทศ ไม่ค่อยเป็นผลดีเท่าไหร่ ภาคธุรกิจเรียกร้องให้มีการตั้ง รัฐบาลกันโดยเร็วที่สุด ก็ติดที่ กกต. ยังไม่ยอมประกาศรับรองผลการเลือกตั้งทั้งที่ การจับขั้วรัฐบาลเซ็น MOU ได้ตั้งแต่สัปดาห์แรกหลังจากวันลงคะแนนเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว
ช่องว่างตรงนี้นอกจาก จะเป็นสุญญากาศในการบริหารประเทศ เพราะอำนาจที่จำกัดของรัฐบาลรักษาการ ยังเป็นช่องว่างให้ การเมืองมีการต่อรองกันไม่สิ้นสุด พรรคการเมืองที่อยากเป็นรัฐบาล ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ก็รอจังหวะเสียบ พยายามสร้าง สถานการณ์ดีลลับ ขึ้นมาหลายเหตุการณ์
เช่นการออกมาแฉของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อ้างมีดีลลับ ลังกาวี มีแกนนำการเมืองไปคุยเรื่องการตั้งรัฐบาลที่มีเพื่อไทยเป็นแกนนำและมีก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน โดยพรรคร่วมรัฐบาลประกอบด้วยพรรค เพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา รวมแล้วได้ 287 เสียง
ในดีลนี้ไม่มี รวมไทยสร้างชาติ ซึ่งก็ประหลาด ถ้าจะอ้างเหตุผลว่า แฟนคลับไม่เอาลุง ในขณะที่ พลังประชารัฐ ให้ลุงถอนตัวก่อนที่จะมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ขัดแย้งกับกระแสข่าวที่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เตรียมตัวเป็นนายกฯ เพื่อแลกกับดีลการกลับบ้านของ ทักษิณ ชินวัตร ข่าวลือก็เลยสับสนซับซ้อน
การร่วมรัฐบาลกับ ภูมิใจไทย ก็ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ เพราะ เพื่อไทย ประกาศชัดเจนไม่เอา นโยบายกัญชา ส่วน ภูมิใจไทย ประกาศชัด จะนำนโยบายกัญชากลับมา ให้ได้ ถ้าจะเบี่ยงเบนประเด็นอ้างว่าเป็นกัญชาทางการแพทย์ ชาวบ้านก็จะหมดศรัทธา แต่ถ้าไม่มี ภูมิใจไทยร่วมรัฐบาล ก็ตั้งรัฐบาลสลับขั้วไม่สำเร็จ ซึ่งกรณีนี้เคยมีการคุยกันในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยว่า ถ้าไม่ได้เสียง ส.ว. สนับสนุนจนครบ 376 เสียง จะเอา ภูมิใจไทย มาร่วมได้ไหม ปรากฏว่า เพื่อไทย ก็คัดค้านเองว่าไม่เอา เพราะฉะนั้น สรุปว่าดีลลับที่ว่ามีความเป็นไปได้น้อยมาก
...
ประเด็นที่ พิธา ยังจะต้องเจอด่าน การถือหุ้นสื่อ และเกิดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.และนายกฯ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ เพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ก็เปลี่ยนแค่ตัวนายกฯและตั้ง ครม.กันใหม่ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนการจับขั้วก็ได้
เหลือด่านเดียวคือ เสียงที่จะสนับสนุนให้ครบ 376 เสียง ในการโหวตนายกฯในสภา พรรคร่วมรัฐบาลคงต้องไปตัดสินใจร่วมกัน ว่าจะดึงเสียงสนับสนุนจากฝ่ายไหน ส.ว. หรือ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล
ถ้าเสียง ส.ส. จะวุ่นตรงที่การร่วมรัฐบาล และข้อจำกัดเรื่องของนโยบาย ถ้าเป็นเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.จะง่ายกว่าไม่ยุ่งยากในทางบริหาร แต่จะยุ่งที่ว่า 250 ส.ว. จะกล้าโหวตให้พิธาเป็นนายกฯหรือไม่เท่านั้น
ทำไปทำมาติดกับดักวงจรอุบาทว์จนได้.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th