"พิธา" ยัน เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ไม่สุดโต่ง ถามกลับ ส.ว."จเด็จ" อยากได้ รัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลประชาชน ยัน พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน สวน "ธนกร" ปม ให้ดูการทำงาน "ประยุทธ์" เป็นตัวอย่าง บอกขอเป็นนายกฯ ที่ยึดประชาชนเป็นหลัก

วันที่ 1 มิ.ย. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ร่วมกับ 3 สมาคมปกครองส่วนท้องถิ่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการประชุมร่วมกันของพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า และ 3 สมาคมปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่ออำนวยความสะดวก และแก้ไขปัญหาให้ประชาชนมากขึ้น มีการพูดคุยถึงแผนงานในการที่จะจัดการช่วงเปลี่ยนผ่าน ในช่วง 100 วันแรก ซึ่งมีหลายคำสั่งที่ไม่เอื้อให้ผู้บริหารสามารถทำงานได้ และนำปัญหามาเป็นที่ตั้ง ทั้งในเรื่องอุทกภัย สิ่งแวดล้อม ปัญหาการเกษตร

“ต่อมาการคุยใน 1 ปี สามารถทำอะไรได้บ้าง และในระยะเวลา 4 ปี พูดถึงแผนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านการทำประชามติของประชาชนในปีแรก เพื่อให้เห็นแผนการทำงานที่ชัดเจน ยืนยันว่าไม่ได้สุดโต่ง และในวันที่ 15-16 มิ.ย.นี้ จะมีการทำเวิร์กช็อป พูดคุยเรื่องรายละเอียดของกฎหมายที่ไม่เอื้ออำนวยเรื่องการจัดการ ซึ่งมีสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน”

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จากข้อเสนอแนะของทางสมาคมฯ มีกำหนดการในช่วงเวลาใดที่จะไม่สามารถทำได้หรือไม่ นายพิธา ระบุว่า ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถทำไม่ได้ แต่ต้องทำอย่างรวดเร็ว รอบคอบ เพื่อพี่น้องประชาชน

เมื่อถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทางพรรคก้าวไกล จะดำเนินการอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า เป็นส่วนหนึ่งของการทำรัฐธรรมนูญใหม่ ผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งหากฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนเรื่องการจัดสรรงบประมาณการจัดการในแต่ละพื้นที่ ก็คงเป็นไปในแนวทางเดียวกัน

...

เมื่อถามอีกว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะวางกรอบให้ท้องถิ่นเป็นอิสระจากส่วนกลางหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า การกระจายอำนาจ ต้องมีงบประมาณ มีภารกิจ การกระจายบุคลากร ดังนั้นต้องรอบคอบ ยกตัวอย่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่มีการกระจายภารกิจกับบุคลากร แต่ทรัพยากรกับงบประมาณไม่ได้ตามลงมาด้วย ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร แต่ทั้งนี้ การบริหารจัดการเรื่องการกระจายอำนาจ ต้องมีอิสระในการทำงานมากขึ้น มีอิสระในการบริหารการเงินมากขึ้น ถึงจะทำให้การบริการประชาชนดีมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงการแสดงความเห็นของ นายจเด็จ อินสว่าง สมาชิกวุฒิสภา ในการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ นายพิธา ระบุว่า ตนเองยังไม่ได้ฟังทั้งหมด แต่อยากถามกลับไป คือ ต้องการรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลของประชาชน เพราะ 8 พรรคการเมือง ที่ตั้งรัฐบาลร่วมกัน ก็ได้เสียงมามากกว่าครึ่ง ถ้าเราเคารพเสียงประชาชน และช่วยกันเตือนว่า ทุกครั้งที่ไม่เคารพมติของประชาชน จะเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ไม่มีใครอยากให้เกิดความขัดแย้งอีกต่อไป แต่การที่เรารักษาระบบ จะรักษาไม่ให้เกิดความขัดแย้งได้ ประวัติศาสตร์ในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา สอนเราแล้วว่า อะไรเป็นต้นเหตุความขัดแย้ง

จึงขอยืนยัน ตนเองพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทุกคน และเคารพทุกความเห็นต่าง และการแนะนำชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จะเป็นเงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติหรือไม่นั้น ตนมองว่า ถ้าสวนมติประชาชน ที่เขาไม่ได้เลือกมา ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้ง

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า การเริ่มพูดคุยกับหน่วยงานต่าง ๆ จะเป็นการนำมวลชนมาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้องกับมวลชน มีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเร็วที่สุด และมีหลายเรื่องที่สังคมต้องการคำตอบอยู่ พยายามอยากทำงานล่วงหน้า ให้รวดเร็ว และรอบคอบ พร้อมยืนยันว่า การพูดคุยกับข้าราชการไม่ได้เป็นการละลาบละล้วง เราต้องมีกรอบการพูดคุย มีวุฒิภาวะ ต้องทำให้ช่วงเปลี่ยนผ่าน 2-3 เดือนนี้ลื่นไหลมากที่สุด และจะไม่สร้างความสับสนให้ข้าราชการหรือประชาชน

ส่วนเรื่องที่นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แนะนำให้นายพิธา ดูการทำงานของพลเอกประยุทธ์ เป็นต้นแบบนั้น นายพิธา ระบุว่า ตนเองขอยึดประชาชนเป็นหลัก เพราะประชาชนเป็นคนเลือกมา