เปิดปาก "หมอชลน่าน" ยืนยันเป้าหมายสูงสุด "พรรคเพื่อไทย" ต้องการรัฐบาลประชาธิปไตย โดยมี "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมชี้แจงประเด็น เก้าอี้ประธานสภา

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 26 พฤษภาคม 2566 ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้พูดคุยกับ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประเด็น "ก้าวไกล-เพื่อไทย" ส่อแววร้าวหรือไม่ ปมแย่งเก้าอี้ประธานสภา

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เผยว่า เรื่องประธานสภา ถ้ามองอยู่ในระบบประชาธิปไตย มันเป็นเรื่องธรรมดามาก เราเคารพการแสดงความเห็น เพราะทุกคนมีสิทธิเสรีภาพการแสดงออก ซึ่งถ้าเราเคารพระบบนี้ การแสดงออกของแต่ละฝ่ายแต่ละคนมันมีสิทธิเสรีภาพแสดงออกได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ อย่างเรื่องประธานสภา จริงๆ ในมุมของเพื่อไทยเราเอง เราพยายามระมัดระวังมากในความเห็นที่จะไปทำให้พี่น้องประชาชนเสียความรู้สึกหรือเป็นในสิ่งที่เขาคาดหวังไม่ได้ หรือเป็นข้อขัดแย้งกัน ทางเราก็พยายามระมัดระวัง ซึ่งบอกกับคนในพรรคตลอด

...

แต่มันก็เป็นความอิสระทางสิทธิเสรีของคนในพรรค เราก็ห้ามไม่ได้จริงๆ เพราะมันมีความเห็นหลากหลาย แต่ถ้าเรายอมรับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น 1. เราต้องฟัง 2. อย่ามองว่าเป็นความขัดแย้ง 3. อย่าถือเป็นความแก่งแย่งกัน ถ้าเรามองตรงนี้ก่อนมันจะทำให้ทุกคนมองด้วยใจเป็นกลางและเป็นธรรม แล้วดูข้อมูลที่ออกมาในแง่บวก

สิ่งสำคัญที่สุดในระบบประชาธิปไตย สิ่งที่เป็นความเห็นต่างเหล่านี้ ถ้าไม่มีข้อสรุปจบ มันจะเป็นข้อขัดแย้ง ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำต่อคือหาบทสรุปจบให้ได้ คือหาความเห็นร่วมให้ได้ สำหรับการทำความเห็นร่วมมันค่อนข้างยาก ในระบบนี้เขาจึงบอกว่าต้องใช้เสียงข้างมากก็จบ เสียงข้างน้อยก็ต้องเคารพเสียงข้างมาก ฉะนั้นเสียงที่เขาพูดกันตอนนี้อย่าเพิ่งถือว่าเป็นความขัดแย้ง ต้องมองว่าเป็นสีสันประชาธิปไตย คุณมีสิทธิที่จะแสดงออกได้

เมื่อถามว่า "ก้าวไกล" กับ "เพื่อไทย" เคยคุยกันจริงจังหรือยังว่าตำแหน่งประธานสภาจะอยู่กับใครนั้น ถ้าคุยเป็นทางการยังไม่เคยคุย เพราะถือว่าเราบันทึกลงนามความเข้าใจร่วมกันก่อน แล้วค่อยขยับมาหารือปรึกษาแบ่งงานกันทำ ไม่ใช่คำว่าแย่งตำแหน่งกัน เพราะพรรคแก่นหลักเขาพูดดีมาก ต้องยอมรับเขา เพราะเขาบอกว่าการจัดสรรตำแหน่งต้องมีความเป็นธรรม สอดคล้องเหมาะสมกับลักษณะงาน โดยยังไม่ได้พูดคุยกันเป็นทางการ แต่อาจจะมีปรึกษากันนอกรอบ เช่น สมมติพรรคเพื่อไทยอยากจะได้ตำแหน่งประธานสภา ก้าวไกลจะว่าไง

ทั้งนี้ เป้าหมายหลักของเราคืออยู่ที่การเลือก "นายกรัฐมนตรี" ให้ได้ ฉะนั้นเรื่องเหล่านี้มันเป็นประเด็นรอง พี่น้องประชาชนเลือกเรามาเพราะต้องการรัฐบาลประชาธิปไตย พวกเขาไม่ได้เลือกมาเพื่อเอาประธานสภา มันเป็นคนละประเด็นกัน ฉะนั้นเราต้องมุ่งหลักแรกกันก่อน ให้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องรอง ถ้าต้องการภาพใหญ่ให้มันประสบความสำเร็จ การเจรจา การพูดคุยเรื่องประธานสภา ควรจะต้องเป็นเรื่องรองไม่ใช่เรื่องหลัก

เมื่อเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จับมือทำ MOU ร่วมกันแล้วต่อหน้าสาธารณะไปแล้ว ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้ประกาศชัดไปแล้วว่าจะปฏิบัติตามนี้ทุกเรื่องเลย พร้อมยึดถือตรงนี้เป็นหลัก โดยในมุมของเพื่อไทย ถามว่าต้องการตำแหน่งนี้มั้ย โดยหลักการเป็นรัฐบาลร่วมที่มีลักษณะของเสียงที่ไม่แตกต่างกันมาก เขาก็มีสิทธิที่อยากจะเสนอว่าอยากจะเข้ามาช่วยงานในมุมนี้นะ แต่ผมเชื่อว่าเราคุยกันได้

สำหรับหน้าที่ของประธานสภา นั้นเขียนไว้ชัด คือต้องทำหน้าที่เป็นกลางทางการเมือง เวลาเลือกประธานสภา จะต้องโหวตลับ ให้รู้ไม่ได้ว่าใครเลือกใคร เพราะห่วงเรื่องความเป็นกลาง สมมติถ้าคนนี้ได้เป็นประธานสภา แต่จำได้ว่าคนนี้ไม่ได้เลือกเรา แล้วไม่ให้เขาพูด เสนออะไรมาแล้วปิดกั้น ฉะนั้นวันโหวตต้องโหวตลับ คือความเป็นกลางทางการเมืองเป็นบทบาทสำคัญที่สุด และประธานสภา จะต้องเป็นประธานของทุกคนทุกฝ่าย ทั้งรัฐสภาและสภาผู้แทนราษฎร ฉะนั้นอยากให้ความมั่นใจว่า ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นประธานสภา ก็ต้องทำตามตัวบทกฎหมาย โดยเฉพาะประธานสภาที่มาจากพรรคร่วม พวกเราต้องมัดกันแน่นแบบนี้ เราแยกกันไม่ได้ ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน

ถ้าถามว่าจะคุยเรื่องนี้กันเมื่อไหร่นั้น เรามีทีมเจรจากัน และเคยพูดไว้แต่แรกแล้วว่า การกำหนดประเด็นกระบวนการเจรจาพูดคุย เราถือว่าพรรคแกนนำเป็นพรรคที่มีสิทธิเต็มที่ที่จะเป็นผู้กำหนด ฉะนั้นการนัดหมายวันเวลาต่างๆ เราก็รอพรรคก้าวไกลเป็นผู้นัดหมายมา จะไปกระดี๊กระด๊าว่าต้องคุยๆ มันดูไม่เหมาะสม ซึ่งการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลผสมมันต้องมีการพูดคุยกัน ต้องมีบทสรุปจบให้ได้ ถ้าไม่คุยกันก็เหมือนสามีภรรยางอนกัน ไม่มองหน้ากัน มันจะไปอยู่ด้วยกันได้ยังไง

"ฉะนั้นหน้าที่ของพรรคก้าวไกลและเพื่อไทย ขณะนี้คือต้องทำความเห็นต่างมาเป็นความเห็นร่วมที่ดีที่สุดเพื่อพี่น้องประชาชน คือการทำรัฐบาลประชาธิปไตยที่เขาคาดหวัง มีนายกรัฐมนตรีชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อันนี้เป็นเป้าหมายสูงสุด"

สำหรับพรรคเพื่อไทย มีเป้าหมายเหมือนกันคือรัฐบาลประชาธิปไตย มีพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ที่เรามีเป้าหมายแบบนี้ เพราะเราต้องการรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากพี่น้องประชาชน 24 ล้านเสียงมอบให้ และสิ่งที่เห็นขณะนี้จากฝั่งผู้ที่ยึดอำนาจเรามาคือจะถูกปิด อันนี้เป็นเป้าหมายสูงสุดของเรา ซึ่งถ้าไม่ทำตรงนี้ฝั่งนั้นที่กุมอำนาจเดิมยิ้มเลย ลุกขึ้นมาสืบทอดอำนาจต่อได้อีก ฉะนั้นเมื่อเรามีเป้าหมายร่วมกัน การพูดคุยไม่ยาก ส่วนที่ใครจะได้ตำแหน่งไหนอย่างไร มันคือความเหมาะสม และก็เป็นไปตามเป้าหมายสูงสุดให้ได้ บนพื้นฐานของความไว้ใจเชื่อใจกัน และจับมือไปด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม เรามั่นใจว่า คุยกันเพื่อหาทางออกได้ โดยพรรคเพื่อไทยขอพูดครั้งที่ 501 ยืนยันว่าจะสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการผลักดันให้ คุณพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ให้ได้ และจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยให้ได้ ฉะนั้นเรื่องอื่นๆ ที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ คุยกันได้


อย่างไรก็ตาม สามารถติดตามรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" พร้อมกันได้ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป ได้ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32.