ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ชี้ พรรคก้าวไกล ควรได้ตำแหน่ง "ประธานสภา" เหตุพรรคเพื่อไทย ได้กระทรวงเกรดเอแล้วหลายกระทรวง หนุนให้นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ยันพรรคก้าวไกลต้องเห็นแก้ประโยชน์สังคมมากกว่าร้านค้า
วันที่ 25 พ.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นัดสื่อมวลชนแถลงข่าวที่ศูนย์ต่อต้านกัญชาเสรี โรงแรมเดอะเดวิส ซอยสุขุมวิท 24 เกี่ยวกับกรณี MOU มาตรการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดของพรรคก้าวไกล และพรรคร่วมรัฐบาล
หลังเดินทางมาถึงนายชูวิทย์ ได้เขียนข้อความต่างๆ ลงบนกระดานในเรื่องที่จะแถลงข่าววันนี้ โดยแบ่งเป็น 2 เรื่องใหญ่ คือ เรื่องการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด และเรื่องทางการเมือง
เรื่องแรกการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด สืบเนื่องมาจากช่วงเช้าที่ผ่านมา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงถึงความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด และมีการพูดถึงการคุ้มครองประชาชน รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ ผู้ปลูก ที่ทำถูกต้องตามกฎหมาย
โดยคุณชูวิทย์ บอกว่า ที่ผ่านมา ตัวเองต่อต้านเรื่องกัญชามาตลอด จึงจำเป็นต้องนำเรื่องนี้มาพูด โดยนายชูวิทย์ ได้นำภาพสถานศึกษา และวัดในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งหมด 8 แห่ง มาให้นักข่าวดู ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าว นายชูวิทย์ นำภาพถ่ายที่พบว่า มีเด็กนักเรียนเข้าไปในร้านกัญชา ซึ่งเด็กคนดังกล่าวแต่งกายคล้ายกับชุดพละของโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ นายชูวิทย์ยังนำใบขออนุญาตให้เพิกถอนร้านกัญชา ที่มีการรวบรวมรายชื่อผู้ปกครองนักเรียน ที่ร่วมลงชื่อกว่า 3,000 คน ใน 1 โรงเรียน มาให้นักข่าวดู เพราะผู้ปกครองก็อยากให้นายชูวิทย์ช่วยเข้ามาดำเนินการในส่วนนี้
นายชูวิทย์ บอกว่า ตอนนี้ตัวเองพยายามส่งสัญญาณเตือนว่า พรรคก้าวไกลควรห่วงผลประโยชน์ของใครระหว่างสังคมกับร้านค้า และที่ออกมาแถลงข่าวในวันนี้ก็เพื่อจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ร้านกัญชาที่เปิดอยู่ตอนนี้กำลังขาดทุนทั้งหมด เพราะปัจจุบันมีร้านกัญชาเปิดกันเยอะจนเกินไป พรรคก้าวไกล จึงจำเป็นต้องเลือก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถประนีประนอมได้
...
นอกจากนี้ นายชูวิทย์ยังเสนอแนะไปถึงพรรคก้าวไกล ว่า ต้องให้กัญชาเป็นยาเสพติดและใช้ทางการแพทย์เท่านั้น และควรมีการสอบถามชุมชนรอบข้างด้วยว่า การมาเปิดร้านแบบนี้ชุมชนโอเคกันไหม จึงไม่ควรจะมาพูดถึงการประนีประนอมใดๆ เลย
จากนั้นนายชูวิทย์ ได้กล่าวถึงประเด็นทางการเมือง ที่ตอนนี้ทางพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย มีการพูดถึงประเด็นตำแหน่งประธานสภา กัน ซึ่งนายชูวิทย์ บอกว่า ตอนนี้พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ต้องเดินไปด้วยกัน เท่าที่สังเกตวันสองวันนี้มานี้ ตัวเองคิดว่า ต้องมีคนทำให้ทั้ง 2 พรรคแตกแยกกัน เพราะเริ่มมีข่าวการทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องต่างๆ ซึ่งพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทย ต้องอยู่คู่กัน เหมือนทีมคนแก่กับหนุ่มสาว ถ้ามีใครทำให้แก้วแตกร้าว คนนั้นแหละจะเป็นคนไปรวมกับขั้วใหม่ ทำให้เกิดรูปแบบของการจัดตั้งรัฐบาลสูตรที่ 2
ส่วนเรื่องตำแหน่งประธานสภา นายชูวิทย์ ถามว่า ทั้งเพื่อไทยและก้าวไกล จะต้องมาทะเลาะเรื่องนี้กันเลยเหรอ และตำแหน่งนี้ก็เป็นตำแหน่งแรก ของการตั้งรัฐบาล ซึ่งปกติไม่มีใครมาโหวตเพื่อเลือกประธานสภา มีแต่การตกลงมาก่อนแล้วทั้งสิ้น แต่ตอนนี้ยังไม่ทันเริ่มต้นเลยก็ทะเลาะแย่งตำแหน่งนี้กันแล้ว ส่วนเหตุผลที่ตำแหน่งประธานสภา มีความสำคัญ เพราะประธานสภา จะต้องเสนอวาระนายกรัฐมนตรี ในการพิจารณา ซึ่งก็ต้องดูกันอีกว่า นายพิธาลิ้ม เจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะผ่านด่าน ส.ว. ไปได้หรือไม่ ซึ่งตอนนี้ ส.ว.หลายคน ก็ยืนยันที่จะโหวตให้กับนายพิธา และตัวของนายพิธาเอง ก็มีประเด็นเรื่องการถือหุ้นสื่ออยู่ ซึ่งกรณีหุ้นสื่อมีคนนำไปถามเป็นวาระสุดท้ายในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทไอทีวี ว่า ยังมีการประกอบกิจการสื่ออยู่หรือไม่ ซึ่งประธานในที่ประชุมบอกว่า ยังมีการประกอบกิจการอยู่ ดังนั้น ประเด็นเรื่องการถือหุ้นสื่อ ส.ว. อาจจะเห็นว่า คุณสมบัติของคุณพิธายังไม่ผ่าน ก็ทำให้ ส.ว.จะมีข้ออ้างในการสวนมติของประชาชนได้เช่นกัน
ซึ่งตอนนี้โดยส่วนตัวตนมองว่า ตำแหน่งประธานสภาคิดว่า ต้องให้พรรคก้าวไกล เพราะพรรคเพื่อไทย ได้กระทรวงเกรดเอไปแล้วหลายกระทรวง และพรรคก้าวไกลก็มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว คิดว่า เกมที่มานั่งทะเลาะกันแบบนี้มันจะเข้าข่ายหารตั้งรัฐบาลสูตรที่ 2 หรือเปล่า อีกทั้งก่อนหน้านี้ที่ทางพรรคเพื่อไทย พยายามออกมาบอกว่า จะให้ก้าวไกลได้จัดตั้งรัฐบาล แต่ลับหลังกลับมาทะเลาะกันแบบนี้
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ถ้าให้ตัวเองเลือก ก็อยากเลือกให้พรรคเพื่อไทยและก้าวไกลได้จัดตั้งรัฐบาล เพราะอยากลองของใหม่บ้าง และถ้ามองสถานการณ์ตอนนี้ก็มีโอกาสเหมือนกันที่คุณพิธาจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมีการวางแผนเรื่องหุ้นสื่อ ซึ่งเพื่อไทยน่าจะรู้อยู่แล้ว เพื่อไทยจึงห่วงเรื่องประธานสภา ซึ่งตัวคุณชูวิทย์เป็นห่วงว่าจะมีการจับขั้วรัฐบาลใหม่ และตอนนี้ตัวเองก็อยากให้มีประชาธิปไตยที่หอมหวนทำงานไปตามที่มันควรจะเป็น