เรียกว่า คาดคิดไม่ถึงจริงๆ กับกรณี คำถาม น.ต.ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยสร้างไทย ในฐานะ เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ถาม นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในงานแถลง เซ็น MOU 8 พรรคร่วมรัฐบาล จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขึ้นมา เมื่ออีกฝ่ายแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ถึงขั้นบอกกับสื่อฯ "ผมต่อยได้ ต่อยไปแล้ว" เพราะเป็นการเสียมารยาท ทั้งที่เป็นคนร่วมพิจารณาร่าง MOU ด้วยกัน ทำไมถึงถามเช่นนี้
...
ขณะที่ น.ต.ศิธา ยืนยัน หลังจบการแถลง MOU ไม่มีได้โกรธกัน นายแพทย์ชลน่าน ยังเข้ามาตบไหล่ พูดคุยให้กำลังใจกันปกติ ส่วนเรื่องที่ นายแพทย์ชลน่าน มีการพูดว่า “ต่อยได้ต่อยไปแล้ว” ไม่แน่ใจว่า ยังไม่เห็นตอนที่ตนเองขอโทษหรือเปล่า แต่ก็รู้สึกว่า ทำไมถึงโมโหขนาดนี้
ซึ่งเรื่องที่ตนโพสต์ตั้งคำถามว่า ไปรับบรีฟใครมาหรือเปล่า วันที่แถลงข่าว มีผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย นั่งอยู่ ซึ่งในขณะที่ตนถามมีคนได้ยินว่า ผู้ใหญ่คนนี้ทำท่าทางและพูดขึ้นว่า มาถามอย่างนี้ได้อย่างไร แต่นายแพทย์ชลน่าน เฉยๆ พอวันรุ่งขึ้นกลับมาพูดติงเรื่องมารยาท จึงสงสัยว่า ไปฟังใครมาหรือไม่
นี่เป็นคำพูดส่วนหนึ่งของ "ผู้พันปุ่น" ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้
ทั้งนี้ "ผู้พันปุ่น" บอกว่า ในเมื่อมอง เป็นการเสียมารยาท ก็ขอโทษ และประเด็นเรื่องที่นั่ง ส.ส. 141 ของพรรคเพื่อไทยกับ 6 ที่นั่งของพรรคไทยสร้างไทยนั้น ไม่ใช่ประเด็น เพราะตน และพรรคไทยสร้างไทย สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ว่า จะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล พร้อมที่จะยกมือให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค 2 อันดับแรก ส่วนตนลาออกจากพรรคได้ ไม่ขอยุ่งเกี่ยว
ขณะตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยหลักการพรรคอันดับ 1 จะเป็นประธานสภาฯ ไม่อยากจะพูดว่า มีการแย่งชิง เพราะเรื่องมารยาทต้องระวัง แต่ก็อยู่ใน 2 พรรคนี้ คือ พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย สำหรับการแสดงความคิดเห็นก็ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เมื่อมีสื่อเชิญไป นาทีนี้โฟกัสแค่ให้ฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาลได้
ทั้งนี้ น.ต.ศิธา ยืนยัน ถ้าเจอ "หมอชลน่าน" อีก ก็ยังคุยได้ปกติ และเรื่องน่าจะจบแล้ว อีกทั้งมองว่า "หมอชลน่าน" อาจจะให้สัมภาษณ์ก่อนเห็นคำขอโทษ ส่วนเรื่อง "ชกได้ก็ชก" เป็นหลังจากให้สัมภาษณ์แล้ว คุยกับนักข่าว คาดว่า คุยเล่นกัน ซึ่งตนเองกับ "หมอชลน่าน" เคยอยู่พรรคเดียวกันมานาน
ส่วนอีกเรื่อง กรณีสหรัฐอเมริกาปฏิเสธขายเครื่องบินขับไล่ F-35A ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ในฐานะ "เดดดี้ปุ่น" เอง ก็มีทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ เพราะ เคยเป็นทหารอากาศ ทำหน้าที่ ขับเครื่องบินรบทั้ง F-5 และเครื่อง F-16
น.ต.ศิธา ให้ความเห็น สหรัฐฯ พิจารณาแล้วว่า ไทยยังไม่พร้อม เท่าที่ทราบ คือ ไทยต้องเตรียมตัวเกือบ 10 ปี คาดว่า จะบรรจุที่กองบิน 1 ต้องปรับปรุงสนามบินในกองบิน 1 ทุกอย่าง ประมาณ 1,000 กว่าล้าน เฉพาะเพื่อรองรับเครื่องบินขับไล่ F-35A ขณะเดียวกัน ก็ยังต้องฝึกคน อุปกรณ์ภาคพื้นที่ต้องดูแลเครื่องบินก็ต้องเป็นอุปกรณ์ของ F-35A ทั้งหมด เปลี่ยนใหม่หมด นอกจากอาวุธยุทโธปกรณ์ที่อาจจะใช้ของเดิมได้ แต่ที่แอดวานซ์ก็ต้องซื้อใหม่
ประวัติ น.ต.ศิธา ทิวารี
นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี เกิด 6 พ.ย. 2507 สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนเซนต์ดอมินิก รุ่นที่ 15, มัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, โรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 24 (ตท.24) โดยเป็นประธานรุ่น และปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต จากโรงเรียนนายเรืออากาศ
น.ต.ศิธา สมรสกับ อาทิกา ท่อแก้ว ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น และมิสมอเตอร์โชว์ ปี 2005 เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2550 มีบุตรด้วยกัน 4 คน
ประวัติการทำงาน จากนักบิน F-16 จนเข้าสู่แวดวงการเมือง
หลังจากจบการศึกษาเขาได้เข้ารับราชการในสังกัดกองทัพอากาศ เป็นนักบินเครื่องบินขับไล่ F-5 และ นักบินเครื่องขับไล่ F-16 โดยรับราชการเป็นนักบินกว่า 8 ปี จนได้รับตำแหน่งสุดท้าย ก่อนลาออกจากราชการ คือ รองหัวหน้าแผนกแผนร่วม กองนโยบายและแผน กรมยุทธการ กองทัพอากาศ ระหว่างที่รับราชการเคยมีผลงานในวงการบันเทิง เช่น ร่วมแสดงในละครโทรทัศน์ในปี พ.ศ. 2538 โดยการชักชวนของ นายยุรนันท์ ภมรมนตรี รวมถึงถ่ายแบบนิตยสารและโฆษณา
จากนั้นลาออกจากราชการ มาลงสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคไทยรักไทย และได้รับการแต่งตั้งเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง โดยมีชื่อที่ได้รับการเรียกอย่างไม่เป็นทางการจากสื่อมวลชนว่า "ผู้พันปุ่น" ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549
ภายหลังเขาได้เข้าร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย และได้รับหน้าที่ผู้ประสานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ต่อมาได้ลาออกจากพรรคเพื่อไทย และเข้าร่วมงานกับพรรคไทยสร้างไทย
ในปี 2565 ศิธา ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2565 ในสังกัด พรรคไทยสร้างไทย แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ปี 2566 ลงสมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อในสังกัดพรรคเดิม ในการเลือกตั้งใหญ่เดือนพฤษภาคม แต่ไม่ได้รับเลือกตั้งเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม น.ต.ศิธา ได้โพสต์ไว้ในเฟซฯ ข้อความ ว่า วันที่ 27 มีนาคมของทุกปี คือ วันที่ระลึกกองทัพอากาศ ซึ่งถือเป็นวันสำคัญและเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของทหารอากาศ ซึ่งรวมถึงอดีตนายทหารนักบิน F-16 อย่างผมด้วยเช่นกัน
ผมมุ่งมั่นตั้งใจอยากเป็นนักบินรบของกองทัพอากาศตั้งแต่เด็ก เมื่อคุณสมบัติครบถ้วนก็มาสอบเข้าและได้รับคัดเลือกเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 24 จากนั้นเมื่อจบแล้ว ก็เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่โรงเรียนนายเรืออากาศ
หลังจากจบการศึกษา ผมก็ได้รับคัดเลือกไปเป็นศิษย์การบิน ผลัดที่ 1 ที่โรงเรียนการบิน กำแพงแสน นครปฐม ใช้เวลา 1 ปี ก็ติดปีกเป็นนักบินกองทัพอากาศอย่างสมภาคภูมิ
ในระหว่างรับราชการผมถูกส่งไปประจำการที่ กองบิน 56 หาดใหญ่ ทำการบินกับเครื่องบินแบบ T-33 จากนั้นย้ายไปอยู่ที่กองบิน 23 จ.อุดรธานี ทำการบินกับเครื่องบินแบบ F-5 A/B และสุดท้ายก็ถูกส่งมาประจำการที่กองบิน 1 จ.นครราชสีมา เพื่อทำการบินกับ F-16 A/B ซึ่งผมรับราชการเป็นนักบินอยู่ที่นี่กว่า 8 ปี ก่อนย้ายเข้าไปเป็น รองหัวหน้าแผนกแผนร่วม กองนโยบายและแผน กรมยุทธการ กองทัพอากาศ ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่ผมจะตัดสินใจลาออกจากราชการ
ผมถอดเครื่องแบบสีเทา เข้าสู่การเป็นนักการเมืองเต็มตัวในปี พ.ศ. 2543 โดยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขตคลองเตย สังกัดพรรคไทยรักไทย และได้รับเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2544 และปี พ.ศ. 2548 สองสมัยติดต่อกัน
นอกจากการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรแล้ว ผมโชคดีถูกมอบหมายให้ทำงานในตำแหน่งฝ่ายบริหารของรัฐบาลด้วย อาทิ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือโฆษกรัฐบาล นั่นเอง
ผมอยากบอกว่าเลือดสีเทาของผมยังเข้มข้นเสมอ ความภาคภูมิใจที่ถูกหล่อหลอมออกมาจากสถาบันแห่งนี้ หากปราศจากความรู้ความสามารถที่ถูกบ่มเพาะมาจากกองทัพอากาศ ผมคงไม่มีวันที่จะมายืนอยู่ในจุดนี้
หลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ผมถูกตัดสิทธิ์การเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี จากการยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อพ้นโทษแบนแล้ว ผมกลับมาช่วยงานในรัฐวิสาหกิจในตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ซึ่งผมได้ใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ต่างๆ จากกองทัพอากาศมาประยุกต์ใช้ในการบริหารงาน เพื่อยกระดับการบริหารท่าอากาศยานไทยให้ทัดเทียมท่าอากาศยานชั้นนำอื่นๆ ก่อนที่ผมจะต้องยุติบทบาทอีกครั้งจากการรัฐประหารของนักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ ที่ชื่อพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ในปี 2557
ผมเป็น #นายทหารประชาธิปไตย เข้าสู่การเป็นนักการเมืองด้วยเสียงจากประชาชน ดังนั้นผมจึงไม่เคยสนับสนุนการเข้าสู่ตำแหน่งใดๆ ด้วยวิธีการนอกระบบ ตลอดชีวิตทางการเมืองของผม ไม่เคยรับตำแหน่งใดจากคณะรัฐประหาร เพราะผมไม่เคยเชื่อว่าการรัฐประหารคือทางออกของประเทศไทย และมันได้ถูกพิสูจน์มาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์ร่ำรวยทั้งอำนาจและเงินตรา ก็คือคณะปฏิวัติ แต่คนไทยและประเทศไทยต่างหาก ที่ต้องตกต่ำและทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ
ผมเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่า “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” และ “อำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน” เราต้องไม่ยอมให้อำนาจนั้นถูกแย่งชิงไปด้วยนายทหารไม่กี่คน ที่อ้างว่าเข้ามาเพื่อคืนความสุข แต่ผ่านไปแล้ว 8 ปี คนไทยกลับมีแต่ความทุกข์ยาก สิ้นหวัง และไร้อนาคต อีกเป็นอันขาด
ในวันที่ระลึกกองทัพอากาศนี้ ผมให้สัญญากับสถาบันที่ผมรักว่า ผมคืออดีตนายทหารอากาศที่สำนึกในบุญคุณของกองทัพอากาศ ที่ทำให้ผมเป็นตัวตนของผมจนทุกวันนี้ โดยตลอดเวลาทั้งที่อยู่ในกองทัพ และหลังจากที่ออกจากกองทัพมาแล้ว ผมยืนยันที่จะเป็นปากเป็นเสียงให้กับกองทัพอากาศ ในทิศทางที่ถูกที่ควรเสมอ แต่ผมจะไม่ก้มหัวให้กับเผด็จการใดๆ ที่เข้ามาช่วงชิงอำนาจอธิปไตย ไปจากพี่น้องประชาชนชาวไทยครับ
ผู้เขียน:เดชจิวยี่
กราฟิก:Anon Chantanant