“ปิยบุตร” ชี้ ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นของพรรคอันดับ 1 ฝากถึงก้าวไกลพิจารณาให้ถ้วนถี่ จะยอมถอยจนยกให้พรรคอื่นไม่ได้

วันที่ 23 พฤษภาคม 2566 เมื่อเวลา 17.53 น. ที่ผ่านมา นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ คณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงเรื่อง “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” เป็นตำแหน่งที่พรรคก้าวไกลเสียไปไม่ได้เป็นอันขาด มีเนื้อหาว่า เมื่อดุลกำลังอำนาจยังไม่เพียงพอ การประนีประนอมเพื่อรักษาสถานะความเป็นไปได้ของการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ก็เป็นเรื่องจำเป็น พรรคก้าวไกลมีว่าที่ ส.ส. 152 คน ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพียงพรรคเดียว จำเป็นต้องตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีว่าที่ ส.ส. 141 คน หากพรรคก้าวไกลต้องการเป็นรัฐบาล ก็ต้องมีพรรคเพื่อไทยร่วมด้วยสถานเดียว หากไม่มีพรรคเพื่อไทยร่วมด้วยก็ไม่มีทางที่พรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล 

นายปิยบุตร ระบุต่อไปว่า 2-3 วันมานี้ มีข่าวปรากฏออกมาตามสื่อมวลชนว่า พรรคเพื่อไทยขอให้พรรคก้าวไกลปล่อยตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้กับ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ส่วนตัวเห็นว่าพรรคก้าวไกลปล่อยตำแหน่งนี้ให้กับพรรคใดๆ ไม่ได้ การเจรจาต่อรองเพื่อกำหนดเนื้อหาใน MOU ได้ผ่านพ้นไปด้วยดี เห็นได้ชัดเจนว่าพรรคก้าวไกลถอยในหลายประเด็น จนเหลือแต่ประเด็นที่ทุกพรรคยอมรับได้ และยอมเพิ่มอีกหลายข้อความเพื่อให้ทุกพรรคคลายความกังวลและสบายใจมากขึ้นแล้ว

เมื่อถึงคราวจัดสรรกระทรวงให้แต่ละพรรค พรรคก้าวไกลก็คงต้องยินยอมเฉือนอีกหลายกระทรวงให้กับพรรคอื่นๆ เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ โดยเฉพาะกระทรวงที่สังคมจัดให้เป็นเกรด A โดยพิจารณาจากงบประมาณและโครงการเป็นเนื้อเป็นหนัง เมื่อถึงช่วงเขียนนโยบายของรัฐบาลเพื่อแถลงต่อสภา พรรคก้าวไกลก็ต้องประสานเอาความต้องการของทุกพรรคเข้ามาไว้ด้วยกัน สภาพการประนีประนอม การเจรจาต่อรอง ระหว่างพรรคการเมือง และการยอมถอยให้พรรคการเมืองอื่น จะดำเนินเช่นนี้เรื่อยไปตลอดระยะเวลาของรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องประหลาดในทางการเมือง และเป็นเรื่องปกติในรัฐบาลผสม

...

“ปัญหามีอยู่ว่า พรรคก้าวไกลจะต้องถอยจนถึงเมื่อไร ต้องยินยอมถึงขนาดไหน เพื่อให้ทุกพรรคพอใจและตั้งรัฐบาลได้? และไปต่อได้? ผมเห็นว่า การประนีประนอม การเจรจาต่อรองของพรรคก้าวไกล จะต้องไม่ไปถึงขนาดที่ยกตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้กับ ส.ส.พรรคอื่น”

ทั้งนี้ โดยทั่วไป ประธานสภาผู้แทนราษฎรก็มาจาก ส.ส.ของพรรคอันดับที่ 1 อยู่แล้ว กรณีสมัยที่แล้วเป็นข้อยกเว้น เพราะจำนวน ส.ส.ซีกรัฐบาลมีมากกว่าอีกฝ่ายไม่กี่เสียง ทำให้พรรคพลังประชารัฐต้องยอมเสียตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแลกกับการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ในเมื่อใครๆ ต่างก็ประสงค์จะให้การเมืองไทยกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ดังนั้น กฎเกณฑ์ในการเมืองไทยที่ใช้กันในสภาวะปกติก็ต้องถูกนำมาปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก รัฐบาลรวมเสียงได้กว่า 300 ก็ถือว่ามากพอแล้ว รวมไปถึงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องมาจาก ส.ส.ของพรรคอันดับ 1 นอกจากนี้ นโยบายของพรรคก้าวไกลที่ใช้รณรงค์หาเสียงจนได้คะแนนมากกว่า 14 ล้านเสียง หลายเรื่องต้องผลักดันผ่านสภา ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ จึงจำเป็นต้องมี ส.ส.ของพรรคตนเองทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคุมวาระและญัตติ 

ขณะเดียวกัน นายปิยบุตร ยังระบุไปถึงการนิรโทษกรรมในคดีความผิดเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมือง และการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า “พรรคก้าวไกลต้องใช้กลไกสภาในการผลักดัน หากไม่ได้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็อาจประสบปัญหาอุปสรรคได้ พรรคก้าวไกลต้องมีคนของตนเองทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคุมเกม ใช้และตีความข้อบังคับการประชุม และกำหนดทิศทางในการประชุมเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย” 

ก่อนจะระบุในช่วงท้ายว่า การประนีประนอมและการเจรจาทางการเมือง เป็นเรื่องเข้าใจได้ในการตั้งรัฐบาลผสม แต่การถอยถึงขนาดยอมยกตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้พรรคอื่น เป็นเรื่องเข้าใจไม่ได้ หวังว่าพรรคก้าวไกลจะพิจารณาประเด็นนี้ให้ถ้วนถี่.