- ทวิตเตอร์เดือด ไม่เอา “พรรคชาติพัฒนากล้า-พรรคใหม่” ร่วมรัฐบาลก้าวไกล แฮชแท็กพุ่งเทรนด์ทวิตเตอร์ประเทศไทย
- “พิธา” และพรรคก้าวไกลออก แถลงขอโทษ ยืนยันฟังเสียงประชาชน ไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคชาติพัฒนากล้า
- พรรคชาติพัฒนากล้า ไม่มีปัญหา ยืนยันพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายติดต่อมา ด้าน พรรคใหม่ ขอถอนตัวร่วมรัฐบาล ถูกขุดเรื่องเพิ่มโทษ ม.112
กลายเป็นกระแสและดราม่าเดือดในทวิตเตอร์และโซเชียลมีเดียอื่นๆ เมื่อมีข่าวการคอนเฟิร์มของพรรคชาติพัฒนากล้า ว่าตอบรับที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล จนเกิดแฮชแท็ก #มีกรณ์ไม่มีกู ขึ้นอันดับ 1 ของเทรนด์ทวิตเตอร์ประเทศไทย ตามมาด้วย #ชาติพัฒนากล้า และแฮชแท็กอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยข้อความส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงไม่เห็นด้วยที่พรรคชาติพัฒนากล้าจะมาเข้าร่วมกับรัฐบาลก้าวไกล จนพรรคก้าวไกลต้องออกมาชี้แจงครั้งแรก แต่ชาวทวิตเตอร์กลับรู้สึกไม่พอใจในคำชี้แจง เพราะมีลักษณะยอมรับว่ามีการจะร่วมรัฐบาลจริง ทำให้เกิดกระแสแรงขึ้น ก่อนที่จะมีการชี้แจงอย่างเป็นทางการอีกครั้งจากพรรคก้าวไกลว่าจะไม่มีพรรคชาติพัฒนากล้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ โดยจะขอไล่เรียงและสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นดังนี้
...
แม้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 จะผ่านพ้นไปแล้ว ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รายงานว่า พรรคก้าวไกล ได้คะแนนสูงเป็นอันดับ 1 โดยได้เก้าอี้ ส.ส.แบบแบ่งเขต 113 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 39 คน จากคะแนน 14,233,895 เสียง รวมได้ ส.ส. ทั้งสิ้น 152 คน ทำให้ในคืนนั้น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศชัยชนะว่าได้เสียงเป็นอันดับ 1 พร้อมจัดตั้งรัฐบาล และพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้งประเทศ
ในเวลาต่อมา นายพิธา แถลงข่าวและประกาศว่าจะร่วมกับอีก 6 พรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาล ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม ก่อนที่จะมีการนัดหารือเรื่องจัดตั้งรัฐบาลที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านถนนสุโขทัย และการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ โดยมีรายชื่อพรรคพลังสังคมใหม่และพรรคเพื่อไทรวมพลัง เพิ่มขึ้นมา ซึ่งจะทำให้รวมแล้วเป็น 313 เสียง
ท่ามกลางกระแสที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มีเสียงแตกต่างกัน บ้างก็ยืนยันว่าจะไม่โหวตให้เพราะพรรคก้าวไกลมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 บ้างก็พร้อมจะโหวตให้หากจัดตั้งรัฐบาลได้เสียงเกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือ 250 เสียงขึ้นไป และพร้อมโหวตให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามฉันทามติของประชาชนที่เลือกตั้งมา ขณะที่ ส.ว. บางส่วนยังสงวนท่าที ซึ่งในส่วนที่ ส.ว. ต้องลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากประชาชนและผู้ใช้โซเชียลมีเดียจนเกิดแฮชแท็กในทวิตเตอร์ #สวมีไว้ทำไม และยังติดอันดับต้นๆ ของเทรนด์ประเทศไทยด้วย แต่การวิจารณ์ก็เริ่มกลับมาเป็นความชื่นชม ส.ว.หลายคนซึ่งออกมาแสดงจุดยืนว่าจะโหวตให้กับนายพิธา
โซเชียลเดือด ดราม่าเกิด ชาติพัฒนากล้าตอบรับร่วมรัฐบาลก้าวไกล
ขณะที่ช่วงเวลาที่พรรคร่วมที่จะจับมือจัดตั้งรัฐบาลกำลังมุ่งหารือในส่วนของ MOU ก่อนที่จะมีการแถลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เดือดอีกครั้งในทวิตเตอร์ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 สืบเนื่องจากมีการเปิดเผยว่า พรรคชาติพัฒนากล้าตอบรับร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล และจะโหวตให้ นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี บนหลักการและเงื่อนไขตาม MOU จนเกิดแฮชแท็กติดเทรนด์ประเทศไทยอันดับ 1 คือ #มีกรณ์ไม่มีกู โดยชาวทวิตเตอร์ส่วนใหญ่มีความเห็นในเชิงไม่เห็นด้วยที่จะให้มาร่วมรัฐบาลก้าวไกล เพราะ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ในอดีตเคยร่วมกับม็อบ กปปส. รวมถึงในสมัยที่เป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็เคยลงมติในสภาฯ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย พร้อมกับย้อนถามไปยังจุดยืนของพรรคก้าวไกลที่บอกว่าจะไม่ร่วมกับพรรคที่เคยสนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการ
ต่อมาพรรคก้าวไกล ได้ออกมาชี้แจงผ่านทวิตเตอร์ว่า “ขอน้อมรับคำวิจารณ์จากทุกท่าน ที่กังวลถึงการที่เราจะมีพรรคชาติพัฒนากล้ามาร่วมรัฐบาล พรรคขอชี้แจงว่าการพูดคุยกับพรรคชาติพัฒนากล้า เป็นไปบนหลักการว่าพรรคชาติพัฒนากล้าจะโหวตให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลตามฉันทามติของประชาชนได้ ส่วนการร่วมรัฐบาล จะเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อตกลงร่วม หรือ MOU ซึ่งนโยบายและจุดยืนของพรรคก้าวไกลจะเป็นเงื่อนไขหลักในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล”
เมื่อชาวโซเชียลได้เห็นการชี้แจง กลับไม่พอใจมากขึ้น ทางด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็โพสต์แสดงความคิดเห็นว่า ไม่เห็นด้วยที่จะให้พรรคชาติพัฒนากล้ามาร่วมรัฐบาลก้าวไกล โดยมีความเห็นสอดคล้องกับชาวทวิตเตอร์ ขณะที่ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ก็ออกมาตั้งคำถาม และขอให้พรรคก้าวไกลตอบคำถามของประชาชนให้ชัดเจนในเรื่องนี้ แม้กระทั่งพรรคก้าวไกลนครราชสีมา ก็ออกมาคัดค้านการให้พรรคชาติพัฒนากล้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล
“พิธา” และพรรคก้าวไกล แถลงขอโทษ ยืนยันฟังเสียงประชาชน
กระทั่งกลางดึก เมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. ของวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 พรรคก้าวไกลได้ออกแถลงอย่างเป็นทางการ ระบุว่า
“พรรคก้าวไกลแถลงขอโทษปมพรรคชาติพัฒนากล้า ยืนยันฟังเสียงประชาชนไม่ร่วมรัฐบาลชาติพัฒนากล้า
สืบเนื่องจากกรณีที่พรรคก้าวไกล ได้เจรจากับพรรคชาติพัฒนากล้า เพื่อตกลงโหวตให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี และเข้าร่วมรัฐบาล กรณีดังกล่าวได้ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์อย่างกว้างขวางจากประชาชน เจ้าหน้าที่พรรค คณะทำงานจังหวัด และสมาชิกพรรค ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าไม่สามารถยอมรับการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคชาติพัฒนากล้าได้ นอกจากนี้ ในที่ประชุมร่วมของว่าที่ผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล ก็มีมติสอดคล้องกับประชาชนว่าไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ กรรมการบริหารพรรค จึงน้อมรับมติดังกล่าวมาปฏิบัติ เราจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคชาติพัฒนากล้า และจะเดินหน้าพูดคุยและทำความเข้าใจเพื่อขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้ได้เสียงพอในการโหวตนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด พรรคก้าวไกลขอน้อมรับคำวิจารณ์ทั้งหมด และกราบขออภัยประชาชนที่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง พรรคก้าวไกลยืนยันว่าการจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล จะทำบนพื้นฐานจุดยืนทางการเมือง นโยบายหลักของพรรคตามที่ได้เคยหาเสียงไว้ รวมถึงขอโทษพรรคชาติพัฒนากล้า ที่ต้องยุติการเจรจาครั้งนี้
และสุดท้ายนี้ ขอบคุณพี่น้องประชาชน เจ้าหน้าที่พรรค และว่าที่ผู้แทนราษฎรก้าวไกลทุกคน ที่คอยตรวจสอบ ท้วงติงการทำงานของผู้บริหารพรรค เพื่อให้พรรคยืนหยัดในจุดยืน อุดมการณ์เดิมอย่างมั่นคง พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค”
ซึ่ง นายพิธา เอง ก็ออกมารีทวีตและขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นว่า “ขอโทษครับ ผมจะระลึกไว้เสมอ พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค”
พรรคชาติพัฒนากล้า-พรรคใหม่ ขอถอนตัวร่วมรัฐบาล
แต่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะในทวิตเตอร์มีการติดแฮชแท็กเพิ่ม #กูไม่เอาพรรคใหม่ และขุดอดีตที่มีหนึ่งในกรรมการบริหารพรรค เคยวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ให้เป็นโทษที่รุนแรงขึ้นหรือประหารชีวิต จนกระทั่ง พรรคใหม่ ออกแถลงการณ์ว่า
“ตามที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ว่า พรรคใหม่มีนโยบายแก้มาตรา 112 ให้เป็นโทษที่รุนแรงขึ้นหรือประหารชีวิตนั้น พรรคใหม่ขอแถลงว่า พรรคใหม่ไม่มีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ให้เป็นโทษที่ร้ายแรงขึ้นหรือโทษประหารชีวิตแต่อย่างใด โดยพรรคใหม่มีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการสุจริตเท่านั้น ทั้งนี้ พรรคใหม่จะกำชับและตักเตือนกรรมการบริหารพรรคที่พูดถึงในสื่อสังคมออนไลน์ต่อไปพรรคใหม่ต้องขออภัยในความเข้าใจคาดเคลื่อน มา ณ ที่นี้”
อีกทั้งหลังเกิดเรื่องดังกล่าว ทีมข่าวโทรศัพท์สอบถามไปยัง นายกฤดิทัช แสงธนโยธิน หัวหน้าพรรคใหม่ ได้รับทราบว่า คลิปดังกล่าวเป็นความเห็นส่วนตัวของคณะกรรมการบริหารคนนั้น ทางพรรคเองก็ไม่ได้เห็นด้วย หลังจากมีโอกาสคุยกับรองหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่เป็นคนประสานให้เข้าร่วมรัฐบาลจึงตัดสินใจขอถอนตัว เพราะมีความไม่สบายใจในการเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ พร้อมยืนยันว่าพรรคใหม่ยังสนับสนุนพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาล โดยการยกมือโหวตสนับสนุนนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการของประชาธิปไตย สิ่งไหนที่ดำเนินการถูกต้องก็จะสนับสนุน ส่วนเรื่องมาตรา 112 พรรคใหม่ยังมีจุดยืนเหมือนเดิม
“สุวัจน์” ยันไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อไป ขอบคุณก้าวไกลขอโทษ
ขณะที่วันนี้ (20 พฤษภาคม 2566) เมื่อเวลา 11.00 น. นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า ให้สัมภาษณ์ ว่า พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายติดต่อมาที่พรรคชาติพัฒนากล้า ให้เหตุผลว่าขณะนี้เสียงรัฐบาลยังไม่เพียงพอ ยืนยันว่าพรรคไม่ได้ไปติดต่อก่อนทั้งสิ้น อีกทั้งแนวทางของพรรค ก็อยากเห็นการเมืองมีเสถียรภาพ อยากเห็นรัฐบาลเสียงข้างมาก และหากใครได้เสียงมากอันดับ 1 ก็ให้รัฐตั้งรัฐบาล แต่เมื่อทางพรรคก้าวไกลแถลงว่าจะยุติการเจรจากับพรรคชาติพัฒนากล้า ก็ไม่มีปัญหา เพราะยังอยู่ในการพิจารณาตอบรับ
“อยากขอบคุณพรรคก้าวไกล ที่ให้เกียรติเชิญพรรคชาติพัฒนามาร่วมรัฐบาล เพราะพรรคเองก็มีแนวทางสนับสนุนในเรื่องนี้อยู่ ทั้งๆ ที่เรามี 2 เสียง ดังนั้นการตัดสินใจใน 2 เสียง ไม่สามารถต่อรองอะไรได้ และมันเป็นความรับผิดชอบของนักการเมือง เราไม่เคยสร้างปัญหา เรามีแต่แก้ปัญหา ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณพรรคก้าวไกล พรรคจึงรับหลักการ แต่ต้องรอที่ประชุมกรรมการบริหารของพรรค แต่เมื่อได้รับการแจ้งยุติเจรจา การประชุมกรรมการบริหารพรรคก็คงไม่เกิดแล้ว ขอบคุณที่ขอโทษพรรคชาติพัฒนากล้า ไม่มีปัญหา ยังเป็นมิตรสหายในสภาฯ ยังสามารถพูดคุยกันได้ตลอดเวลา”
“ชัยธวัช” ยัน 313 เสียงพอตั้งรัฐบาลก้าวไกล
วันเดียวกันนี้ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้จัดการตั้งรัฐบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้พรรครวบรวมเสียงได้ 313 เสียง ถือว่ามีเพียงพอและมั่นคงแล้วตามหลักการประชาธิปไตยสากลทั่วไป หลังจากนี้จะเดินหน้าคุยกับ ส.ว. เพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน แล้วพาบ้านเมืองไปต่อตามครรลองประชาธิปไตย ไม่ไปสู่ทางตัน จากการพูดคุยกับ ส.ว. จำนวนหนึ่ง หลายท่านมีความกังวลเรื่องทิศทางนโยบายต่างประเทศ การรักษาสมดุลของไทยในเวทีการเมืองโลก และ ส.ว. ไม่ต้องการเห็นรัฐบาลชุดใหม่ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่มขึ้น เมื่อได้พบกันและอธิบายจุดยืนและแนวทางของพรรคก้าวไกล ส.ว. ก็เข้าใจมากขึ้น
เลขาธิการพรรคก้าวไกล เชื่อว่าเมื่อ ส.ว. ได้เห็นข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาลในวันที่ 22 พฤษภาคมแล้ว จะมีความเข้าใจดีขึ้นและนำไปสู่การตัดสินใจในเชิงบวกเพื่อผลักดันประเทศไปข้างหน้า โดยขณะนี้กระบวนการเจรจาร่าง MOU เดินหน้าไปได้ด้วยดี ตอนนี้ทุกพรรคกำลังพิจารณาและนำเสนอวาระสำคัญของแต่ละพรรคเพื่อมารวมกันเป็นข้อตกลงร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาล วันพรุ่งนี้ (21 พฤษภาคม 2566) จะมีการพูดคุยกับแต่ละพรรคอีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้
จัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค รวม 313 ที่นั่ง
- พรรคก้าวไกล 152 ที่นั่ง
- พรรคเพื่อไทย 141 ที่นั่ง
- พรรคประชาชาติ 9 ที่นั่ง
- พรรคไทยสร้างไทย 6 ที่นั่ง
- พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 ที่นั่ง
- พรรคเสรีรวมไทย 1 ที่นั่ง
- พรรคเป็นธรรม 1 ที่นั่ง
- พรรคพลังสังคมใหม่ 1 ที่นั่ง
ในท้ายที่สุดคงต้องจับตาการตั้งรัฐบาลที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำต่อไปว่าจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่ หากจัดตั้งได้ เมื่อเข้าสู่การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี นายพิธา จะได้รับเสียงเกิน 376 หรือไม่จากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ขณะที่ประชาชนก็ต่างจับตาและตรวจสอบการทำงานของพรรคการเมืองต่างๆ แม้จะเป็นพรรคที่เลือกตั้งได้อันดับ 1 โดยเห็นว่า ไม่ใช่พรรคก้าวไกลเชิญพรรคไหนร่วมรัฐบาลแล้วประชาชนจะยอมรับทั้งหมด ไม่เพียงเท่านั้น นายพิธา เองก็ยังมีกรณีถูกร้องเรื่องการถือหุ้น itv ที่กำลังเป็นประเด็นในขณะนี้ เจ้าตัวจะฝ่าด่านและอุปสรรคไปได้ถึงฝั่งฝันหรือไม่ ต้องติดตามชนิดอย่ากะพริบตาเลยทีเดียว
ผู้เขียน : กิณรีสีงอังกาบ
กราฟิก : Sathit Chuephanngam