• การนับคะแนนรูปแบบใหม่ "เลือกตั้ง 2566" ดีอย่างไร?
  • เผย 3 สิ่งใหม่ ในการเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วไปปี 2566
  • งบเลือกตั้ง 6,000 ล้านบาท ต้องไม่สูญเปล่า "ตาสับปะรด" ช่วยจับทุจริตเลือกตั้ง มีรางวัลให้

14 พฤษภาคม 2566 พี่น้องประชาชนเชื่อว่า การ "เลือกตั้ง" ครั้งนี้ สำคัญมากกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา หลายคนรู้สึกว่าเป็นห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงและความหวัง รวมทั้งต้องการตัวแทนที่เข้ามาแก้ไขและจัดการปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ, การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่จบหรือหมดไป, การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ ของประเทศที่ประชากรร้อยละ 20 มีอายุมากกว่า 60 ปี, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, ภัยธรรมชาติ, ฝุ่น PM 2.5 เป็นต้น 

สำหรับในระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งถือเป็นสิ่งที่ประชาชนผู้ "มีสิทธิ" มีหน้าที่ลงคะแนนเสียงเลือก "ตัวแทนผู้นำ" ที่จะมากำหนดกติกาและนโยบายของประเทศในอนาคต ซึ่งทุกคะแนนที่ออกมาในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะสะท้อนทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนอยากให้เกิดขึ้นในสังคม

...

ทางด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.ปกรณ์ ศิริประกอบ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า แนวโน้มผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งมากขึ้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 2562 มีผู้มาใช้สิทธิ 38 ล้านคน จากจำนวนผู้มีสิทธิทั้งสิ้น 51 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 74.87 ของผู้มีสิทธิทั้งหมด) แต่สำหรับปีนี้ คาดว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นเพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวน 52 ล้านคน (เพิ่มจากเดิม 1 ล้านคน) แล้ว ยังเนื่องมาจากเหตุปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ 

  • คนไทยมีความเข้าใจและตื่นตัวมากขึ้นทางการเมือง และเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสำคัญในการได้มาซึ่งคนที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศ
  • รูปแบบการหาเสียงทุกวันนี้แตกต่างจากแต่ก่อน โดยเฉพาะการหาเสียงออนไลน์ ทำให้ผู้มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้ง่ายและมากขึ้น รวมทั้งผู้สมัคร ส.ส. เองก็สามารถเข้าถึงผู้มีสิทธิได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตด้วย
  • ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีการบริหารจัดการให้กลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุมีความสะดวกมากยิ่งขึ้นกว่าครั้งที่ผ่านมา โดยมีการเปิดหน่วยเลือกตั้งพิเศษสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการเพิ่มขึ้นรวม 28 แห่ง ใน 23 จังหวัด

ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนพิการและผู้สูงอายุ ซึ่งในบางครั้งเป็นกลุ่มเดียวกัน เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนอย่างน้อยที่สุดประมาณ 12 ล้านคน หรือร้อยละ 23 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งหากนับรวมครอบครัวหรือผู้ดูแลในสัดส่วนคนพิการ/ผู้สูงอายุ 1 คน กับครอบครัว 1 คน จะเท่ากับ 24 ล้านคน หรือร้อยละ 46 

สำหรับการมีส่วนร่วมของพลเมือง ถือเป็นหัวใจหลักของการปกครองในระบบประชาธิปไตย หากผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิกันมากก็จะเป็นภาพสะท้อนว่าประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น

ดูนโยบายแก้ปัญหา มากกว่าชูคนหรือพรรคการเมือง 

การหาเสียงครั้งนี้ มีรูปแบบที่ต่างไปจากเดิมพอสมควร ตามบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป รถกระจายเสียงที่แล่นไปตามถนนดูจะมีจำนวนลดลง เปลี่ยนเป็นการจัดเวทีสาธารณะตามแหล่งช็อปปิ้ง ทั้งกรุงเทพและจังหวัดใหญ่ๆ วิธีการหาเสียงมีการเปิดเวทีรับฟังความเห็นประชาชนมากขึ้น และมีการสื่อสารอย่างเป็นกันเอง นอกจากนี้ การหาเสียงในโลกออนไลน์ก็คึกคัก ยิงตรงถึงกลุ่มเป้าหมายของแต่ละพรรคและใช้งบประมาณลดลงด้วย และยังมีพื้นที่ให้เกิดการสื่อสารสองทางระหว่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งกับผู้สมัคร 

ขณะที่ ในอดีตรูปแบบการหาเสียงเลือกตั้ง จะเน้นตัวผู้สมัครหรือพรรคการเมืองน้อยคนจะสนใจนโยบายของพรรคการเมืองอย่างจริงจัง แต่ในวันนี้ ผู้คนดูจะสนใจนโยบายต่างๆ ของพรรคการเมืองมากขึ้น โดยการหาเสียงของแต่ละพรรค เน้นชูนโยบายที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เห็นได้จากป้ายหาเสียงที่นำเสนอนโยบายที่เข้าใจง่าย จับต้องได้มากกว่าการเน้นที่ตัวผู้สมัครหรือพรรคการเมืองเหมือนในอดีต สิ่งนี้สะท้อนว่าคนมองปัญหาและสนใจการแก้ไขของแต่ละพรรคมากขึ้น เข้าใจว่าเป็นการเลือกตั้งเป็นการหาผู้นำและตัวแทนเข้าไปแก้ปัญหาสังคมมากกว่าการเลือกแค่คน หรือพรรคการเมืองที่ชอบเหมือนครั้งอดีตที่ผ่านๆ มา

งบเลือกตั้ง 6,000 ล้านบาท ต้องไม่สูญเปล่า

ก่อนจะ "กากบาท" เลือกใคร หรือพรรคใด ทุกคนต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เพราะการเลือกตั้งมีราคาที่ต้องจ่าย ทั้งวันนี้ไปจนถึงวันข้างหน้า ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ ใช้งบประมาณแผ่นดินสูงถึง 6,000 ล้านบาท ฉะนั้นต้องใช้วิจารณญาณให้ดี เพื่อให้ 4 ปีข้างหน้า ไม่มีใครรู้สึกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องเสียเวลา หรือเสียโอกาสของประเทศ

3 สิ่งใหม่ในการเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วไปปี 2566

การเลือกตั้งปี 2566 มี 3 เรื่องใหม่ ที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งควรใส่ใจ ดังนี้ 

1. การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบใหม่ หลายคนอาจรู้ว่ามีการแบ่งเขตการเลือกตั้งใหม่ โดยรวมจำนวน ส.ส. ในสภายังคงจำนวนเท่าเดิม คือ 500 คน แต่การแบ่งเขตแบบใหม่จะทำให้จำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จากเดิมในปี 2562 มีจำนวน ส.ส. เขต 350 คน แต่การเลือกตั้งปีนี้ เราจะได้ ส.ส. แบบแบ่งเขตทั้งสิ้น 400 คน ส่วน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อจะลดลงจากเดิม 150 คน เหลือเพียง 100 คน

2. บัตรเลือกตั้งมี 2 ใบ คือ "เลือกคน" กับ "เลือกพรรค" สิ่งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งควรระวังก่อนเข้าคูหาคือ "หมายเลขผู้สมัครรับเลือกตั้ง" กับ "หมายเลขพรรคการเมือง" ซึ่งอาจไม่ใช่เบอร์เดียวกันเหมือนครั้งที่ผ่านมา ฉะนั้นผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องจำหมายเลขผู้สมัครรับเลือกตั้งและหมายเลขพรรคการเมืองที่จะเลือกให้แม่นยำ อย่าสับสนเพราะเมื่อเข้าคูหาไปแล้วไม่สามารถออกมาดูได้อีก

3. การเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตที่มีสิทธิ (ตามระเบียบระเบียบคณะกรรมการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 ข้อ 192) แต่เดิมการเลือกตั้งล่วงหน้าทำได้เฉพาะนอกเขตที่อยู่อาศัยของตนเองเท่านั้น โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ประสงค์จะเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตที่ตนเองมีสิทธิต้องส่งหลักฐานว่ามีคำสั่งเดินทางหรือมีคำสั่งให้ไปทำงานในวันที่เลือกตั้งจากหน่วยงานต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น  

แต่ครั้งนี้ สามารถทำได้โดยที่ต้องแจ้งความประสงค์ในการเลือกตั้งล่วงหน้าว่าเราต้องการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตที่ตัวเองมีสิทธิ โดยที่ต้องส่งหนังสือหรือจดหมายยืนยันถึงความไม่สะดวกในการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. และต้องการใช้สิทธิในวันที่ 7 พ.ค. ในพื้นที่ที่ตนเองมีสิทธิเลือกตั้ง

การนับคะแนนรูปแบบใหม่ ดีอย่างไร? 

การเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตรเลือกตั้งสองใบ คือ ใบเลือกพรรค และ ใบเลือกผู้สมัคร ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนตัดสินใจเลือกได้ง่ายกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อน (ปี 2562) ที่มีบัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว ซึ่งครั้งก่อนเป็นการบังคับว่าเลือกพรรคเท่ากับเลือกคน หรือ เลือกคนเท่ากับเลือกพรรค เนื่องจากพรรคกับคนใช้คะแนนร่วมกัน แต่ครั้งนี้เราสามารถเลือก "คน" แยกจาก "พรรค" ได้ ทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง สามารถเลือกคนในพื้นที่ที่ทำงานในพื้นที่จริงๆ ได้ โดยที่ยังสามารถเลือกพรรคที่ชอบนโยบาย หรือให้ผู้ที่พรรคการเมืองแจ้งชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ได้

สำหรับกฎเกณฑ์ใหม่ดังกล่าว ทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสามารถลงคะแนนได้เป็น 2 ทาง คือ

1. กาเลือกคนเพื่อบริหารจัดการชุมชน กาเลือกพรรคเพื่อบริหารประเทศ 

2. กาเลือกทั้งคนและพรรคเดียวกันทั้ง 2 ใบ

การกาแบบนี้ คือการเลือกทั้งคนและพรรคมาบริหารประเทศ เพราะถ้าคนที่เราเลือกได้รับการเลือกตั้งก็ทำให้ตัวเลขจำนวน ส.ส. ของพรรคเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อการสนับสนุนพรรคของตัวเองในการจัดตั้งรัฐบาลได้

นอกจากนี้ การนับคะแนนที่แตกต่างระหว่างปี 2562 และ 2566 คือ รูปแบบการนับคะแนนในปี 2562 ที่มีบัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว เน้นให้ค่ากับทุกคะแนน หรือที่เรียกกันว่าไม่มีคะแนนเสียง "ตกน้ำ" เนื่องจากถ้าคนที่ 1 เป็นผู้ชนะ คะแนนของคนที่ 2, 3 ไล่ลงมาจนถึงคะแนนของคนสุดท้าย จะยังคงถูกนับเป็นคะแนน และนำไปรวมในคะแนนของพรรค จึงไม่มีคะแนนใดหล่นหาย แต่การเลือกตั้งในปีนี้ คะแนนของบัตรใบที่เลือกคน จะได้ผู้ชนะเพียงคนเดียว คะแนนของคนที่ได้อันดับ 2 ลงไปจนถึงคะแนนของคนสุดท้าย จะไม่ถูกนำมาใช้ใดๆ อีก 

สำหรับการนับคะแนนของ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อก็มีการปรับสูตรการคำนวณใหม่เช่นกัน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อมีทั้งสิ้น 100 คน จะได้มาจากการเอาจำนวนคะแนนบัตรเลือกพรรคการเมือง ที่เป็นบัตรดีทั้งหมด มาหาร 100 ที่นั่ง ก็จะได้คะแนนเฉลี่ยของ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน

ยกตัวอย่างคือ หากในการเลือกตั้งครั้งนี้มีคนมาลงคะแนนบัตรเลือกตั้งพรรคการเมือง 40 ล้านคน เมื่อนำจำนวน 40 ล้านมาหารด้วยจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ก็จะได้เท่ากับ 400,000 นั่นหมายความว่าพรรคการเมืองจะได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 1 คน จากทุกๆ 400,000 คะแนนเสียงที่ได้

สมมติ พรรค A ได้คะแนนพรรค 4 ล้านคะแนน เท่ากับได้ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 10 คน นับอย่างนี้จนครบทุกพรรคการเมือง ถ้า ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อยังไม่ครบ 100 ที่นั่ง ก็จะย้อนมาดูที่จุดทศนิยมของแต่ละพรรคการเมือง หากพรรคใดมีจุดทศนิยมสูงที่สุด ก็จะได้ที่นั่งเพิ่ม 1 ที่นั่งก่อน แล้วไล่ไปจนครบ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน

เช่น พรรค A ได้คะแนน 10.8, พรรค B ได้ 8.5, พรรค C ได้ 0.7 ตามคะแนนนี้ พรรค A จะได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเพิ่มมา 1 คน แล้วก็ต่อด้วยพรรค C ได้เพิ่มมาอีก 1 คน แล้วจึงตามด้วยพรรค B ตามลำดับ แม้บางพรรคการเมืองอาจจะหารออกมาแล้วไม่ได้คะแนนเต็ม แต่มีจุดทศนิยมสูงก็อาจจะได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมา 1 คน

เตรียมตัวอย่างไร กับการเลือกตั้งปี 2566

  • เตรียมบัตรให้พร้อม บัตรอะไรก็ได้ที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐที่มีรูปถ่ายและเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักปรากฏอยู่บนบัตร อาทิเช่น บัตรประชาชน, ใบขับขี่, หนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวคนพิการ
  • วางแผนให้มีเวลาสัก 1 ชั่วโมงในวันเลือกตั้ง ระหว่างช่วงเวลา 8.00 น. ถึง 17.00 น. สำหรับการเดินทางและไปใช้สิทธิ การเลือกตั้งทุกวันนี้สะดวกมากขึ้น หน่วยเลือกตั้งอยู่ใกล้บ้านของผู้มีสิทธิมากกว่าเดิม ความแออัดก็ลดลง 
  • ศึกษากติกาการเลือกตั้งให้ดี จำหมายเลขของผู้ที่เราต้องการเลือกให้แม่น คนในใจหมายเลขอะไร
  • พรรคการเมืองเบอร์อะไร เพราะเราเข้า-ออกคูหาเลือกตั้งได้แค่ครั้งเดียว 
  • หากพบเห็นพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่ถูกต้อง น่าสงสัยให้แจ้งเบาะแสไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ 

จับทุจริตเลือกตั้ง มีรางวัลให้

นอกจากการทำหน้าที่และใช้สิทธิพลเมืองในการเลือกตั้ง ส.ส. แล้ว อีกสิ่งที่พลเมืองที่ดีทำได้และพึงทำคือการเป็น watchdog ช่วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการสอดส่องดูแลให้การเลือกตั้งปลอดการทุจริต คนส่วนมากมีกล้องวิดีโออยู่ในมือถืออยู่แล้ว พร้อมที่จะถ่ายภาพหรือคลิปต่างๆ ได้ทันทีที่เจออะไรที่สงสัยว่าไม่ตรงไปตรงมา ทำบันทึกส่งมาที่ กกต.กลาง กกต.จังหวัด หรือส่งผ่านแอปพลิเคชัน "ตาสับปะรด" ก็ได้ โดย กกต. มีรางวัลให้แก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสการทุจริตการเลือกตั้งอีกด้วย

ข้อควรระวัง และ ข้อห้ามทำในการเลือกตั้ง 

จากระเบียบคณะกรรมการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 ข้อ 174 ระบุไว้ชัดเจนว่าบัตรเสียนั้นเป็นอย่างไร และการกระทำใดที่ก่อให้เกิดบัตรเสีย ได้แก่

  • บัตรปลอม
  • บัตรเปล่าที่ไม่ได้กากบาท
  • กากบาทที่ออกมานอกกรอบสี่เหลี่ยม
  • ทำเครื่องหมายอย่างอื่น นอกเหนือจากเครื่องหมายกากบาท
  • กากบาทในช่องที่ไม่มีผู้สมัคร
  • กากบาทมากกว่าจำนวนที่กำหนด
  • ขีดเขียนบัตรเลือกตั้ง เช่น เซ็นลายเซ็น
  • บัตรเลือกตั้งที่ไม่ได้มาจากหน่วยเลือกตั้ง
  • การขีดฆ่าเครื่องหมายแล้วกากบาทใหม่

นอกจากนี้ การทำบัตรเสียบางกรณี ยังนับเป็นการกระทำผิดกฎหมายอีกด้วย

  • ห้ามโชว์บัตรเลือกตั้งว่าเราเลือกตั้งเบอร์อะไร
  • ห้ามถ่ายรูปบัตรเลือกตั้งที่มีการทำเครื่องหมายแล้วโพสต์ลงสื่อสังคมออนไลน์

  • ห้ามทำลายบัตรเลือกตั้งในทุกกรณี หรือหากเกิดความผิดพลาดใดๆ ไม่สามารถขอบัตรใบใหม่ได้
  • การทำเครื่องหมายและสัญลักษณ์อื่นใดที่ไม่ใช่กากบาทลงบนบัตรเลือกตั้ง
  • การใช้บัตรเลือกตั้งอื่นที่ไม่ได้มาจากหน่วยเลือกตั้งที่ไปใช้สิทธิ  

ทั้งนี้ โทษของการกระทำผิดดังกล่าวคือการถูกจับกุมดำเนินคดึและรับโทษ ซึ่งโทษสูงสุดอาจถึงจำคุก 

นอนหลับทับสิทธิ เสียสิทธิอะไรบ้าง 

การที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ใช้สิทธิเลือกตั้งตามหน้าที่พลเมือง จะเสียสิทธิทางการเมือง ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 35 ประกอบด้วย 

1. ไม่มีสิทธิร่วมลงชื่อยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

2. ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา

3. ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่

นอกจากนั้นแล้ว ยังส่งผลให้ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง ดังนี้

1. ข้าราชการการเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมืองและข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา

2. นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.)

3. ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น, ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น, คณะที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, รองผู้บริหารท้องถิ่น, เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น, ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น

4. ทุกตำแหน่งที่ผ่านการลงคะแนนเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม การจำกัดสิทธิทางการเมืองมีกำหนดเวลาครั้งละ 2 ปี นับแต่วันเลือกตั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเท่านั้น หากมีการเลือกตั้งและไปใช้สิทธิในครั้งต่อไป สิทธิทางการเมืองย่อมกลับคืนมา แต่ กกต. เปิดโอกาสให้กับผู้ที่ไม่ได้มาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่กำหนดได้ชี้แจงเพื่อให้ไม่ถูกตัดสิทธิได้ว่าด้วยเหตุ ผลใดทำให้ไม่สามารถมาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันนั้นได้

สุดท้ายนี้ อยากเชิญชวนให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนออกมาใช้สิทธิ เพราะอนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือเราทุกคน.