กองเชียร์ด้อมส้มแห่ฟังปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายของพรรคก้าวไกล “พิธา” ประกาศ พร้อมเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน ย้ำชัด “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” 14 พ.ค. นี้ เลือกอนาคต อย่าเลือกอดีต
วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานจากเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคก้าวไกล ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง เต็มไปด้วยประชาชนที่มาฟังการปราศรัย โดยมีการขยายพื้นที่ให้ประชาชนที่ทยอยเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง โดยในเวลา 19.20 น. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ปราศรัยตอนหนึ่งว่า อนาคตใหม่ฆ่าไม่ตาย วันนี้เติบโตขึ้นอย่างองอาจ และใหญ่กว่าเดิม การยุบพรรคของเขา ไม่ทำให้การเดินทางของเราถูกทำลาย เพราะคนที่ยืนอยู่ที่นี่มากกว่า 4 ปีก่อนถึง 4-5 เท่า ส่วนความคิดของเรา เขายิ่งฆ่าไม่ตาย เห็นได้ชัดจากประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ครั้งหนึ่งเคยเป็นวาระต้องห้ามของสังคมไทย 4 ปีผ่านมา วาระนี้กลับกลายเป็นประเด็นสาธารณะพูดจาแลกเปลี่ยนกันได้อย่างกว้างขวาง ปลอดภัย และ 3 ปีแห่งการยุบอนาคตใหม่ เมล็ดพันธุ์เติบโตงอกงาม เพดานถูกยกขึ้น พวกเขาล้มเหลวในการทำลายเรา
ที่ผ่านมา ไม่มีใครออกมายืนยันสิทธิ กล้าเผชิญหน้าความจริงอันน่ากระอักกระอ่วน ในเวลาที่สังคมโหยหาเสียงแห่งเหตุผล ต้องการผู้นำทางการเมือง หัวหน้าพรรคของเราได้แสดงความเป็นผู้นำนั้น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล้าหาญ กล้าตอบสนองเสียงเรียกร้องแห่งยุคสมัย เขาคือหัวหน้าพรรคการเมืองคนแรกและคนเดียว ที่กล้าพูดความจริงอันน่ากระอักกระอ่วน หลายสิบปีที่ผ่านมาในสภาฯ ไม่มีหัวหน้าพรรคคนไหนกล้าทำในสิ่งที่ นายพิธา ทำ นี่คือเหตุผลว่าทำไมนายพิธาเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองคนต่อไปของประเทศไทย
...
“วันนี้โมงยามแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว ไม่มีอะไรหยุดมันได้ ประชาชนตื่นรู้ทางการเมืองเเล้ว จะไม่ยอมกลับไปหาอดีตที่มืดมิด 14 พฤษภาคมนี้ เป็นชั่วโมงแห่งประวัติศาสตร์ นี่คือโอกาสดีที่สุดตลอด 17 ปี ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 เพราะไม่มีปีไหน ที่ฉันทามติแห่งการเปลี่ยนแปลง จะดังสนั่นไปทั่วทั้งแผ่นดินแบบวันนี้ เป็นเวลาฝันใหญ่ ไม่ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว แต่กล้าฝัน กล้าจับมือกันเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ 14 พฤษภาคม เป็นหน้าที่ของทุกท่านแล้วที่จะส่งพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และส่งพิธา เป็นนายกฯ” จากนั้นต่อด้วยการปราศรัยของ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล และ นายชัยธวัช ตุลาธน
“พิธา” ลั่น ต้องยุติวงจรรัฐประหารชั่วนิรันดร
จากนั้นเวลา 20.45 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นปราศรัยเป็นคนสุดท้าย โดยแนะนำตัวว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย วันนี้ขอประกาศว่าเวลาของพวกเราได้มาถึงแล้ว อีก 2 วันเท่านั้น คำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน กาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม วันนี้พร้อมแล้วที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะรวยดีมีจน จะมาจากภูมิภาคไหน จะเป็นคนรุ่นใหม่หรือรุ่นใหญ่ สามารถฝากความฝันและความหวังไว้กับตนได้ พวกเรามารวมตัวกันวันนี้เพราะมีความฝันเหมือนกัน ความฝันของเรายังเข้มข้นแม้ผ่านไป 4 ปี สิ่งที่เราไม่ลืมคือเพื่อนรัก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล, น.ส.พรรณิการ์ วานิช ไม่ต้องกังวล ตอนนี้คบเพลิงอยู่ในมือ จะไม่มีวันให้ดับ เราจะเดินหน้าความฝันให้เป็นจริง รอคอยวันที่ทั้ง 3 คนกลับมา ส่วนตนเองขอเป็นนายกรัฐมนตรี 2 สมัยก็พอ
สิ่งที่หลายคนไม่รู้ ความฝันของเราเรียบง่าย หลากหลาย เราหวังที่จะเห็นประเทศไทยดีขึ้น ถ้าเป็นคนรุ่นใหญ่ หวังว่าในวันที่เกษียณรัฐบาลจะดูแลมากกว่าแค่ไข่ต้มฟองเดียว ถ้าอยู่ในวัยของพ่อคน ก็หวังว่ามันจะจบในรุ่นเรา แค่อยากจะเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยประชาชน ของประชาชน เพื่อประชาชน ต้องการเห็นการกระจายอำนาจ แต่ละจังหวัดเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดของตัวเอง ขณะนั้นมีกองเชียร์ตะโกนบอกว่า “ส้มรักพ่อ” นายพิธาตอบว่า “พ่อก็รักส้ม พ่อก็รักฟ้า และพ่อก็รักประชาชนด้วยครับ” จนได้รับเสียงกรี๊ดดังสนั่น ก่อนจะพูดต่อในนโยบายยกเลิกเกณฑ์ทหาร ด้านการศึกษาเปลี่ยนเป็นชั้นเรียนเน้นให้ได้มาก เพราะหลายคนไม่อยากย้ายประเทศ ประสบการณ์ที่ผ่านมารู้ว่าความฝันเมื่อเอามารวมกัน ผู้นำคนต่อไปของประเทศไทยต้องเป็นนายกฯ ที่พร้อมจะแก้ปัญหาเก่า เผชิญหน้าปัญหาใหม่ พร้อมพาประเทศไทยไปสู่อนาคตใหม่ด้วยกัน
ทั้งนี้ จะหยุดแช่แข็งประเทศไทยได้ นายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องแก้ปัญหาเก่าที่ติดหล่มมาตลอด 17 ปี คือ ยุติวงจรรัฐประหารชั่วนิรันดร เราต้องปฏิรูปกองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน ได้ทหารมืออาชีพ หยุดแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย ต้องคืนศรัทธาให้ประชาธิปไตยของประเทศ ยังมีอีกหลายคนที่เคยเห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร ไม่เชื่อในระบบรัฐสภาว่าจะแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ แต่ 8 ปีที่ผ่านมา เราได้บทเรียนราคาแพงแล้ว ผู้นำคนต่อไปต้องพร้อมตัดวงจรรัฐประหาร คืนศรัทธาให้ระบบรัฐสภาไทย
เมื่อหลุดออกจากหล่มการเมืองได้ ไม่ใช่ปัญหาจะจบเพราะมีการหมักหมมสะสมมานาน แต่เมื่อมีความคิดใหม่ๆ ก็ต้องปะทะความเชื่อแบบเก่าๆ ต้องถามตัวเองว่า ตอนนี้สังคมไทยกำลังสร้างกำแพงหรือกังหันลม เมื่อสายลมเปลี่ยนแปลง ตอนที่เราปราศรัยมีเยาวชนอายุ 15 ปีถูกขังจากมาตรา 112 สิ่งที่ต้องการพูดในเวทีนี้อย่างมีวุฒิภาวะและมีสติ คือการต้องให้ตั้งสติกันใหม่ ไม่ได้ต้องการให้ตัดสินว่าถูกหรือผิด เหมาะสมหรือไม่ ต้องการพูดถึงคนเห็นต่าง ยอมรับหรือไม่ว่าสิ่งคนรุ่นใหม่เผชิญตอนนี้เป็นมรดกตกทอดจากคนรุ่นเก่า สถาบันควรอยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่เพราะคนรุ่นเราดึงสถาบันลงมาและยัดคดีคนเห็นต่าง
พร้อมแล้วที่จะเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน
นายกรัฐมนตรีคนต่อไป ต้องสามารถที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพระราชฐานะอย่างประณีต เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพระมหากษัตริย์และประชาชนดีขึ้น ถ้าทำได้เราจะสามารถแก้ปัญหาเก่า เผชิญหน้าปัญหาใหม่ และพาประเทศไทยไปสู่อนาคต หลังวันที่ 14 พ.ค. เราทุกคนจะร่วมมือกันวางอิฐก้อนแรกลงใจกลางประเทศไทย เริ่มด้วยรัฐสวัสดิการ ทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นเพื่อคนทุกคน กระจายที่ดินให้คนที่ต่อสู้ 40-50 ปี แล้วยังไม่มีที่เป็นของตัวเอง แถมยัดคดีมากกว่า 80,000 คดี ในช่วงรัฐบาล คสช. เรามาเริ่มต้นใหม่ในการปฏิรูปการศึกษา เพื่อคนรุ่นใหม่จบออกมามีงานทำและไม่แพ้ใครในโลกใบนี้ มาสร้างงานซ่อมประเทศด้วยกัน เอาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไปปักลงใจกลางโลก เอาเศรษฐกิจดิจิทัลที่คนไทยมีความสามารถมากมาย ลดความเหลื่อมล้ำไปด้วย เพิ่มอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยไปด้วย แต่เราจะไม่มีสมาธิทำถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาเก่าและเผชิญหน้าปัญหาใหม่อย่างชัดเจนตรงไปตรงมาอย่างที่พรรคก้าวไกลเสนอ
“วันนี้ผมพร้อมแล้วครับที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคนในประเทศ ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผม ผมก็ยังจะเป็นนายกรัฐมนตรีของท่าน ไม่ว่าวันที่ 14 พ.ค. ท่านจะเลือกผมหรือไม่เลือกผม ผมพร้อมที่จะรับใช้ท่าน และผมจะฟัง โดยเฉพาะคนที่เห็นต่างจากผม ผมได้ยินท่าน ผมจะเรียนรู้จากท่าน และผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้นก็เพราะท่าน 14 พ.ค. เข้าคูหากาก้าวไกลให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม เลือกอนาคต อย่าเลือกอดีต เลือกด้วยความหวัง ไม่ใช่เลือกด้วยความกลัว คำตอบสุดท้าย ชัดเจนตรงไปตรงมา ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน คำตอบสุดท้าย ชัดเจน ตรงไปตรงมา มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง 14 พ.ค. ได้เวลาประชาชนฝันใหญ่ กาก้าวไกลพาประเทศไทยไปด้วยกัน จะก้าวให้ไกลต้องก้าวด้วยกันครับ”
หลังปราศรัยจบ น้องพิพิม ลูกสาวของนายพิธา ได้วิ่งขึ้นบนเวทีและเข้าสู่อ้อมกอดคุณพ่ออย่างอบอุ่น สำหรับการปราศรัยหาเสียงของพรรคก้าวไกลมีการถ่ายทอดสดยาวนานกว่า 4 ชั่วโมง มีประชาชนและแฟนคลับด้อมส้มจำนวนมากมารับฟังการปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม ซึ่งจะเปิดหีบในเวลา 08.00 น. และปิดหีบลงคะแนนในเวลา 17.00 น. ก่อนรวบรวมผลนับคะแนนเพื่อลุ้นว่าพรรคการเมืองใดจะได้รับชัยชนะและเป็นรัฐบาลชุดต่อไป