พลังประชารัฐปราศรัยย่อยใน กทม. “นฤมล” ชูนโยบายที่ทำเพื่อประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิต “สกลธี” มั่นใจศักยภาพผู้สมัครของพรรคไม่น้อยหน้าใคร
วันที่ 4 พฤษภาคม 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัยย่อย โซนกรุงเทพกลางและตะวันออก นำโดย นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค และหัวหน้าทีมผู้สมัคร กทม., นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าทีมผู้สมัคร กทม. นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรค พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.กทม. ประกอบด้วย
นายสฤษดิ์ ไพรทอง เขตเลือกตั้งที่ 1
นายพณิชย์ วิทยาภัทร์ เขตเลือกตั้งที่ 2
นายกานต์ กิตติอำพน เขตเลือกตั้งที่ 5
นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ เขตเลือกตั้งที่ 13
นางนฤมล รัตนาภิบาล เขตเลือกตั้งที่ 14
นางสาวณิรินทร์ เงินยวง เขตเลือกตั้งที่ 15
นายกิติภูมิ นีละไพจิตร์ เขตเลือกตั้งที่ 16
นายพีระพงษ์ รัสมี เขตเลือกตั้งที่ 18
นางนาถยา แดงบุหงา เขตเลือกตั้งที่ 19
นายบุญรุ่ง เต๋งจงดี เขตเลือกตั้งที่ 20
...
นางนฤมล ปราศรัยว่า เวทีครั้งนี้ได้รวมเอาผู้สมัคร 10 เขต มาพบกับประชาชน และยืนยันถึงนโยบายที่จะลดค่าครองชีพให้คน กทม. รวมถึงประชาชนทั่วประเทศ วันนี้ได้มีการแถลงนโยบายเศรษฐกิจของพรรค และนโยบายเศรษฐกิจของ กทม. เป็นสิ่งที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ทำไว้ โดยผู้สมัครได้เสนอให้พรรคทำนโยบายให้ทุกชุมชน เพื่อจะได้มีบ้านเป็นของตนเองในโครงการบ้านประชารัฐ ซึ่งการทำโครงการนี้ไม่มีการใช้งบประมาณของรัฐ เนื่องจากมีความซ้ำซ้อนของพื้นที่ เพราะที่ดินบางแห่งเป็นที่ราชพัสดุ การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือเป็นของเอกชน การดำเนินโครงการนี้จะให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนดำเนินโครงการ ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ โดยมีราคาไม่เกิน 500,000 บาท และมีสถาบันการเงินเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ประชาชนเปลี่ยนเงินค่าเช่าบ้านเป็นเงินผ่อนได้บ้าน มีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีนโยบายการเสริมทักษะ อาชีพและเพิ่มช่องทางการค้าผ่านมือถือให้กับพี่น้องประชาชนมีช่องทางการค้าขายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญของพรรค เช่นเดียวกับการทำนโยบายบัตรสวัสดิการประชารัฐ จะเพิ่มให้เป็น 700 บาท มีการประกันชีวิตอีก 200,000 บาท ขอฝากพี่น้องเลือกเบอร์พรรคให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี และขอฝากผู้สมัครทั้ง 10 คนในวันนี้ด้วย
จากนั้นผู้สมัคร กทม. สลับขึ้นเวทีเพื่อปราศรัย นำเสนอนโยบายในการดูแลพื้นที่ กทม. ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน และมีเป้าหมายที่จะเข้าไปพัฒนาพื้นที่ของตนเอง ในแบบที่สอดรับกับปัญหา และความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง ก่อนปิดท้ายด้วยนายสกลธี ที่ขึ้นกล่าวว่า อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของประชาชนทุกคน อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร อยากเห็น เศรษฐกิจที่ดี คนไทยกินดีอยู่ดี หรืออยากจะเห็นความแตกแยกของคนสองยุค อยากเห็นคอร์รัปชัน เห็นยาเสพติดระบาดทั่วเมือง และสถาบันหลักของชาติถูกนำมาล้อเลียน และนำไปพูดอย่างสนุกปาก หรืออยากเห็นคำว่าชาติที่ไม่ใช่ศูนย์รวมของคนไทยอีกต่อไป ทุกอย่างอยู่ในมือของทุกท่านในวันที่ 14 พ.ค. นี้
สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรคพลังประชารัฐ เรามีดีในหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล ศักยภาพของพวกเราไม่น้อยหน้าพรรคการเมืองไหนแน่นอน มั่นใจว่าถ้าผู้สมัครของเราทั้ง 33 เขต และพรรคพลังประชารัฐได้เข้าไปทำงาน กทม. ต้องดีกว่านี้แน่นอน และการก้าวข้ามความขัดแย้งของพรรคพลังประชารัฐ คืออยากจะให้ประชาชนรักกัน แต่ก็มีเส้นแบ่งที่ก็คงไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ เช่น การไปรวมกับพรรคที่ไม่เอาสถาบัน หรือพรรคที่ทำให้เศรษฐกิจของชาติล่มจมด้วยการแจกหว่าน เพราะนักวิชาการบอกชัดว่านโยบายเช่นนี้จะทำให้เศรษฐกิจประเทศพังทลาย พรรคการเมืองควรที่จะคิดนโยบายที่ช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่นโยบายที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน และทำลายประเทศชาติ ด้วยการบอกว่าจะยกเลิก ม.112 ซึ่งตนไม่มั่นใจว่าการยกเลิกไปแล้วจะทำให้ประชาชนรวยขึ้นอย่างไร
“ขณะนี้มีวาทกรรมออกมาจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นยุทธศาสตร์ของแต่ละพรรค แต่ผมอยากจะบอกทุกคนว่า เรารักใครชอบพรรคไหนเราก็เลือกตามใจของเรา ไม่ต้องไปกังวลว่าจะเลือกคนนั้น แล้วคะแนนจะเสียเปล่า คะแนนจะตกน้ำ เพราะทุกคะแนนเสียงของประชาชนคือกำลังใจให้กับผู้สมัครและพรรคการเมือง ขอให้ทุกคนเลือกด้วยหัวใจ เลือกในสิ่งที่เราต้องการและเราอยากได้เป็นพอ”