“พล.อ.ประวิตร” นำทัพดรีมทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ สรุปนโยบายโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 2566 ดูแลปากท้องทุกด้าน เน้นย้ำก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจนพลิกโฉมเศรษฐกิจไทย
วันที่ 4 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงข่าวสรุปนโยบาย โค้งสุดท้าย สู่การเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลประชารัฐ นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค, นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการฝ่ายจัดทำนโยบายพรรค, นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพรรค, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรค, นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรค, นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบายพรรค, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค, ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ และนายคณิศ แสงสุพรรณ ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพรรค
จากนั้นพรรคพลังประชารัฐชูนโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านเศรษฐกิจตลอด 45 วันของการหาเสียงที่ผ่านมา ตอนนี้ถือเป็นโค้งสุดท้ายที่พรรคจะใช้ในการนำเสนอ ลงพื้นที่หาเสียง ที่จะเข้าถึงประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกช่วง ให้ได้รับโอกาสที่ดี มีชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพที่มั่นคง และพร้อมนำนโยบายที่มีอยู่ทั้งหมดสู่การลงมือทำทันที เมื่อได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ ผ่านนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ นำไปสู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นการพลิกโฉมการบริหารภาครัฐให้มีประสิทธิภาพนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน
...
ทั้งนี้ เป้าหมายของการก้าวข้ามความขัดแย้งเป็นเป้าหมายแรกที่ต้องการให้ประชาชนคนไทยทุกคนมีความรักใคร่ สามัคคี เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศเกิดความสงบสุข ให้รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างราบรื่น ซึ่งประชาชนทราบดีว่าการที่ประเทศมีความสามัคคีจะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ไม่หยุดชะงัก การค้าขายราบรื่น หากประชาชนไม่มีการเดินลงบนถนนเพื่อเรียกร้อง ก็จะนำไปสู่การบริหารประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในทางการเมืองเป็นสิทธิของทุกคน ใครจะอยู่พรรคไหนก็ได้ เมื่อเราเลือกผู้แทน 400 เขตเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรได้แล้ว ก็ให้เป็นหน้าที่ของสภาฯ ดำเนินการทั้งในเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนการบริหารประเทศรัฐบาลก็จะทำหน้าที่สร้างความรุ่งเรือง เมื่อทุกอย่างไม่ติดขัดก็จะทำให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ เชื่อว่าประชาชนทุกคนจะชอบเมื่อเศรษฐกิจกิจดีขึ้น เงินในกระเป๋าดีขึ้น ดังนั้น เมื่อคนไทยเป็นหนึ่งเดียวกันจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการสร้างความเจริญให้เกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะความรักใคร่ของทุกคนจะทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง พร้อมยืนยันด้วยว่า ทีมเศรษฐกิจของพรรคจะทำนโยบายที่ประกาศแล้วทำได้ทันทีถ้าเป็นรัฐบาล อีกนโยบายที่ถือว่ามีความสำคัญคือการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ต้องมีการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดฟื้นฟู โดยจะหางบประมาณก้อนหนึ่งดำเนินการเรื่องนี้โดยเฉพาะ
“ขอยืนยันว่าทุกนโยบายของพรรคจะทำทันทีถ้าเราได้เป็นรัฐบาล ฝากกับประชาชนทุกคนด้วยว่าช่วยเลือกพรรคพลังประชารัฐ และเลือกผู้สมัครของพรรค เพื่อจะได้ดำเนินการในการตามนโยบายที่เสนอกับประชาชนไว้ หวังอย่างยิ่งว่าประชาชนคงจะให้โอกาสสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เราพร้อมที่จะรับใช้ประชาชน ทำงานเพื่อประชาชน”
ส่วนการก้าวข้ามความยากจน จะเน้นในเรื่องที่ทำกินและแหล่งน้ำ ซึ่งพรรคมีนโยบาย “มีเรามีน้ำไม่แล้ง” ดูแลเกษตรกรให้เข้มแข็ง ซึ่งตนทำเรื่องน้ำมาตลอด 4 ปี จนไม่มีพื้นที่ภัยแล้ง เป็นหนึ่งในผลงานความสำเร็จของการร่วมรัฐบาล ที่สามารถให้ประชาชนอยู่ดีกินดีเพิ่มมากขึ้น ฝนตกมาก ส่วนกรณีที่มีฝนตกมาก เกิดน้ำหลาก ต้องมีการวางแผนทุกพื้นที่ที่จะรับมือ เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ซึ่งเป็นปัญหาระยะสั้นที่รัฐบาลมีมาตรการเข้าไปเยียวยาอย่างต่อเนื่อง
ทางด้าน นายอุตตม กล่าวเสริมว่า พรรคมีความพร้อมที่จะนำพาประชาชนบรรลุผลสำเร็จ โดยเริ่มจากนโยบายสำคัญคือการก้าวข้ามความขัดแย้ง ถ้าปราศจากความขัดแย้งทุกอย่างก็สามารถตอบโจทย์ความเดือดร้อนพร้อมมอบอนาคตที่ดีให้กับประชาชน ดังนั้น นโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งเป็นส่วนสำคัญ นโยบายรัฐบาล ทำหน้าที่ส่งเสริมตามภารกิจเร่งด่วนที่ต้องทำทันที เมื่อได้เป็นรัฐบาล ประกอบด้วย 1. กระตุ้นเศรษฐกิจให้พลิกฟื้นจริงทันที 2. เร่งการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีพลัง เต็มศักยภาพ 3. เร่งรัดสร้างฐานรากการพัฒนาพลิกโฉมประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนทั่วถึง ให้มีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง โดยเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เพื่ออนาคตที่ดีของคนไทย
“3 ภารกิจหลักที่ต้องทำทันที กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นอย่างแท้จริง ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ของพี่น้องประชาชนหลายปีที่ผ่านมาเราเร่งรัดการวางพื้นฐานการพัฒนาให้ยั่งยืนให้คนไทยสามารถแก้ปัญหาที่สะสมมา ซึ่งพลังประชารัฐมุ่งการแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ พร้อมจะแก้ปัญหาทุกอย่างเพื่อความเป็นธรรม แก้ไขเรื่องหนี้สินอย่างครบวงจร เติมทุนใหม่ เพิ่มโอกาสใหม่ เพิ่มทักษะให้ประชาชนมีโอกาสทำมาหากิน เร่งขยายธุรกิจให้ความสำคัญสูงสุดในการขยายตัวตั้งแต่ฐานรากตั้งแต่ชุมชนเข้มแข็ง หมู่บ้านเข้มแข็ง ภาคเกษตรเป็นเรื่องใหญ่ วันนี้เราพร้อมเติมทุนให้พี่น้องเกษตรกร 30,000 บาทต่อครอบครัว เพื่อใช้ในการลงทุนค่าใช้จ่าย เอาเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อให้คนไทยมีความเข้มแข็ง มีความเท่าเทียมทั่วถึง”
นายสนธิรัตน์ ระบุว่า เรื่องการสร้างความเข้มแข็ง สิ่งแรกที่จะทำคือ ใช้โครงสร้างกองทุนหมู่บ้าน จะดำเนินโครงการที่พรรคพลังประชารัฐเคยทำมาแล้วในอดีต ผลักดันกองทุนละ 2 แสนบาท ภายใต้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ส่วนภาคเกษตร เราจะลดค่าใช้จ่าย คือแก้ปัญหาปุ๋ยแพงทันที โดยโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง จัดตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ จะให้ทุนการเพาะปลูก 30,000 บาท ครอบคลุม 8 ล้านครัวเรือน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการเกษตร คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมัน ส่วนด้านสาธารณสุข จะเน้นสาธารณสุขเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามามีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) เป็นฐานหลัก
ขณะเดียวกัน พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายที่เป็นรูปธรรมจากสิ่งที่ทำในสิ่งแรก จะใช้ศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านที่มีอยู่ครอบคลุม 13,000,000 คน พลังประชารัฐจะดำเนินการอยู่แล้วและเพิ่มเติมอีก 200,000 บาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งของฐานรากโดยจะไปต่อยอดให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ ส่วนภาคเกษตรมีประชากรอยู่ 10,000,000 คน ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดโดยการลดค่าใช้จ่ายแก้ปุ๋ยแพงทันที ปุ๋ย 50% เพื่อลดค่าใช้จ่ายราคาผลผลิตทางการเกษตรหากต้นทุนแพงก็จะไปไม่ได้ กองทุนก็ต้องมาดูแลเพิ่มเสถียรภาพให้มีการตั้งตัวที่ดีระยะยาว
นายมิ่งขวัญ เผยว่า เรามีปัญหาค่าครองชีพ ทุกคนเดือดร้อนกันหมด พรรคพลังประชารัฐจะลดราคาน้ำมันเบนซินลิตรละ 18 บาท ดีเซลลดลิตรละ 6.30 บาท ไม่ว่าน้ำมันโลกจะขึ้นหรือลง เมื่อได้ขึ้นเป็นรัฐบาลจะทำทันที ส่วนเรื่องแก๊ส หลังวันเลือกตั้งถ้าพรรคได้ขึ้นมาบริหาร ราคาค่าไฟฟ้าครัวเรือนจะอยู่ที่ 2.50 บาทต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย จะทำให้ค่าครองชีพลดลง รวมถึงผลักดันนโยบายเบี้ยผู้สูงอายุ โดยอายุ 60 ปีขึ้นไป จะได้เบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาท อายุ 70 ปี ขึ้นไปได้ 4,000 บาท อายุ 80 ปีขึ้นไป ได้ 5,000 บาท
“เหลืออีก 10 วันจะเลือกตั้งแล้ว ขอให้คนไทยใจเย็นๆ ใจร่มๆ ฟังดรีมทีมเศรษฐกิจของเรา และถามตัวเองว่าใช่สิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่ ถ้าใช่ขอให้เลือกเบอร์พรรคด้วย”
ต่อมา นายสันติ ระบุถึงนโยบายอีสานประชารัฐ ซึ่งอีสานเป็นภาคที่มีประชากรมากที่สุด มีพื้นที่ทำเกษตรกรรมจำนวนมากและมีแรงงานมากที่สุด ถ้าพัฒนาอีสานได้จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่ตลาดโลก เป็นความคิดที่จะดูแลภาคอีสาน เป็นความตั้งใจที่ชาญฉลาดในการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวอีสาน อีสานประชารัฐคือการพัฒนาอีสาน เริ่มต้นจากการที่จะมีโครงการรถไฟความเร็วปานกลางวิ่งตั้งแต่ จ.บึงกาฬ มาถึงภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่อีอีซี
จากนั้น นายคณิศ กล่าวว่า นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ คือไม่แจกเงินคนรวย เพื่อให้ทุกคนกลับฟื้นคืนมา ก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน สำหรับนโยบายระยะยาวเราจะทำเขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนภาคใต้ใน 5 จังหวัด ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับดี ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ทำให้ทุกคนดีขึ้น ตอนนี้เราทำวางแผนกันไว้แล้ว
ส่วน นายธีระชัย เปิดเผยย้ำว่า นโยบายเหล่านี้ต้องมีการใช้เงิน หลายคนถามว่าเราจะหาแหล่งเงินมาใช้อย่างไร เรามีนโยบายที่สร้างรายได้ให้กับประเทศและประชาชนนอกจากกลไกการลงทุน คือ วิธีไฟแนนซ์นโยบาย ได้แก่ 1. โยกมาจากงบประมาณประเภทอื่น 2. ปฏิรูปภาษี 3. มาจากการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ และ 4. ถ้างบประมาณไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเพิ่มหนี้สาธารณะ ในส่วนของหนี้สาธารณะยังสามารถบริหารจัดการได้ ถ้าเพิ่มไปบ้างสามารถบริหารจัดการได้ถ้าเรามีนโยบายที่เพิ่มรายได้อย่างเหมาะสม แต่ต้องได้คะแนนเสียงพอเพื่อจับมือกันแก้กฎหมาย หรือยกระดับในเรื่องการบริหารหนี้สาธารณะชั่วคราว
สำหรับไฟแนนซ์จากการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ มีการคำนวณว่า
- นโนบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาทต่อเดือน จะก่อให้เกิดการหมุนเวียน 735,336 ล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6% ต่อปี
- นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 3 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 2.5% ต่อปี
- นโยบาย 8 ล้านครอบครัวเกษตรกร จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 1.4 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 1.2% ต่อปี
- นโยบายโซลาร์รูฟท็อป จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 7.2 แสนล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6% ต่อปี
- นโยบาย 1 อบต. 1 โซลาร์ฟาร์ม จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 7.2 แสนล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 0.6% ต่อปี
- นโยบายเปลี่ยนรถน้ำมันเป็นรถไฟฟ้า จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน 1.2 ล้านล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคขยายตัวได้ 1% ต่อปี
- จัดตั้งองค์กรทรัพยากรพลังงานแห่งชาติ ให้เป็นผู้รับประโยชน์จากสัมปทานแหล่งก๊าซและน้ำมันที่จะทยอยหมดอายุลง โดยภายใน 4 ปี รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปี 1 แสนล้านบาท เสริมเข้ามาเป็นงบประมาณแผ่นดิน
อย่างไรก็ตามในช่วงท้าย นางนฤมล กล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจจากการลงพื้นที่ กทม. สิ่งที่พี่น้องต้องการคือการพัฒนาคุณภาพชีวิต การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ต้องไม่ใช่นโยบายหรือแผนนโยบายที่ทำระยะสั้น เปลี่ยนรัฐบาลและทิ้งเขาไป นโยบาย กทม. จะต่อยอดสิ่งที่ พล.อ.ประวิตร ทำเอาไว้ คือที่อยู่อาศัย จะทำบ้านประชารัฐต่อไป โดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากรัฐบาล แต่ใช้การร่วมทุนกับเอกชน ส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล ส่วนเรื่องการพัฒนาการยั่งยืนนั้น จะใช้กลไกกองทุนธุรกิจเพื่อสังคม สามารถทำได้ทันที จะใช้เม็ดเงินระดมทุนจากตลาดทุนส่งเสริมให้เกิดธุรกิจเพื่อสังคม.